การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลา แต่เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องทำในวันที่โลกเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งสงครามที่เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก สงครามการค้าจากประเทศมหาอำนาจ การทะลักของสินค้าต่างชาติ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอาจเป็นทางรอดเดียวที่ทำให้ประเทศไทยยืนอยู่บนเวทีการแข่งขันของโลกอย่างยั่งยืน
วันนี้ (2กรกฎาคม 2540) เมื่อ 28 ปีที่แล้ว ประเทศไทยเคยเผชิญกับบทเรียนราคาแพงทางเศรษฐกิจมาแล้วเมื่อ พ.ศ. 2540 ในชื่อที่รู้จักกันดีว่า "วิกฤตต้มยำกุ้ง" วิกฤตการณ์ครั้งนั้นไม่เพียงสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล แต่ยังทิ้งรอยแผลเป็นไว้ในโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ซึ่งส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการพึ่งพาต่างประเทศสูง และความท้าทายใหม่ ๆ อย่าง "หนี้ครัวเรือนท่วมคนไทย" ที่กำลังเป็นปัญหาเรื้อรัง สิ่งเหล่านี้ล้วนตอกย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการ "รื้อโครงสร้างเศรษฐกิจไทยสู่ความยั่งยืน"
จุดเริ่มต้นวิกฤตต้มยำกุ้ง 2540
ตอนเช้าตรู่วันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ในยุครัฐบาล พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ เมื่อรัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวอย่างทันทีทันใด จากเดิมประมาณ 25.60 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐ เป็น 28.75 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง และค่าเงินบาทอ่อนลงตามลำดับ ในช่วงต่ำสุดเคยตกลงถึง 55 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐ
ฟองสบู่ที่รอวันแตก
และผู้ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดและเป็นที่รู้จักในฐานะ "พ่อมดการเงิน" หรือ "เซียนหุ้นสายดาร์ก" คือ จอร์จ โซรอส (George Soros) และกองทุนของเขา Quantum Fund
ผลกระทบของวิกฤตต้มยำกุ้งรุนแรงและกินวงกว้าง ทั้งเศรษฐกิจที่ถดถอยรุนแรง ธุรกิจล้มละลาย การว่างงานพุ่งสูง และความเครียดทางสังคมที่ตามมามากมาย ทำให้ธุรกิจเอกชน เช่น บริษัทบ้านจัดสรร อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมผลิตวัสดุก่อสร้าง สถาบันการเงิน ธนาคาร ธุรกิจการพิมพ์การโฆษณา ถูกกระทบอย่างรุนแรง หลายแห่งต้องปิดกิจการ หลายแห่งมีหนี้ท่วมตัว พนักงานจำนวนมากถูกปลดออกจากงาน และรัฐบาลถูกกดดันให้ลาออกแล้ว วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ยังส่งผลให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศมาเลย์เซีย อินโดนีเซีย เกาหลี ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และรัสเซีย
ผ่านมา 28 ปี เศรษฐกิจไทยได้เรียนรู้และสร้างภูมิคุ้มกันระดับมหภาคขึ้นมาหลายอย่าง เช่น การกำกับดูแลสถาบันการเงินที่เข้มแข็งขึ้น และการจัดตั้งกลไกป้องกันวิกฤตในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซ่อนอยู่ก็เริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะ "วิกฤตหนี้ครัวเรือน"
ปัจจุบัน (พ.ศ. 2567-2568) สัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทยยังคงอยู่ในระดับสูงถึง 88-90% และเคยสุดในระดับ 95% ของ GDP ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ปี 2564
ข้อมูลจากเครดิตบูโร ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 ชี้ว่า หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่าสูงถึง 13.54 ล้านล้านบาท ในขณะที่ GDP ของประเทศอยู่ที่ 16.2 ล้านล้านบาท คิดเป็นประมาณ 87-88% ต่อ GDP ลดลงต่ำกว่า 90% ต่อเนื่อง และที่น่าเป็นห่วง หนี้เสียหรือ NPLs อยู่ที่ 1.19 ล้านล้านบาท ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ และมีแนวโน้มที่จะเป็นปัญหาเรื้อรัง สาเหตุหลักมาจาก
ผลกระทบของหนี้ครัวเรือนสูงส่งผลทั้งในระดับบุคคลที่ต้องแบกรับภาระหนัก ทำให้กำลังซื้อลดลง เกิดความเครียด และยังส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจประเทศ ด้วยการฉุดรั้งการบริโภคและการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ไม่เต็มที่ และอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาว
วิกฤตการณ์ทั้งสองครั้งนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้อง "รื้อโครงสร้างเศรษฐกิจ" เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนและทั่วถึง ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการปรับรากฐานของประเทศ แนวทางสำคัญ ได้แก่:
การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลา แต่เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องทำในวันที่โลกเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งสงครามที่เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก สงครามการค้าจากประเทศมหาอำนาจ การทะลักของสินค้าต่างชาติ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอาจเป็นทางรอดเดียวที่ทำให้ประเทศไทยยืนอยู่บนเวทีการแข่งขันของโลกอย่างยั่งยืน เพื่อให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากวังวนของความเปราะบางทางเศรษฐกิจ และก้าวไปสู่การเติบโตที่เข้มแข็ง มั่นคง และเป็นธรรม