Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
เทียบผลงาน ‘6 นางฟ้า’ ที่ประกาศงบฯ Q3 แล้ว ใครบินพุ่ง ใครร่วงตกสวรรค์?
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

เทียบผลงาน ‘6 นางฟ้า’ ที่ประกาศงบฯ Q3 แล้ว ใครบินพุ่ง ใครร่วงตกสวรรค์?

31 ต.ค. 68
20:47 น.
แชร์

ฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2025 อยู่ในห้วงเวลาที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯเป็นขาขึ้น ทำ All-time high แบบถี่ๆ โดยมีหุ้นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่แบกและดันดัชนีขึ้นไป โดยเฉพาะหุ้น ‘7 นางฟ้า’ (Magnificent 7 Stocks) อันแข็งแกร่งที่เป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของกำไรในตลาด แม้ว่าเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐฯเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2025 บริษัทในกลุ่มหุ้น ‘7 นางฟ้า’ ประกาศผลการดำเนินงานออกมาแล้ว 6 บริษัท เหลือเพียงแม่ทัพ Nvidia ที่มีกำหนดประกาศในวันที่ 19 พฤศจิกายน

สำหรับผลการดำเนินงานของทั้ง 6 บริษัทที่ประกาศออกมาแล้วนั้น ได้สร้างความสั่นสะเทือนอย่างยิ่งในตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีทั้งบริษัทที่ประกาศออกมาแล้วราคาหุ้นพุ่งขึ้นมากกว่า 10% และบริษัทที่ประกาศออกมาแล้วราคาดิ่งลงมากกว่า 10% เหมือนตกจากสวรรค์

SPOTLIGHT เกรงว่าหากจะรอให้ Nvidia ประกาศผลการดำเนินงานแล้วค่อยเทียบผลงานกันแบบครบๆ นางฟ้าทั้งเจ็ดก็คงจะนานเกินไป เราจึงขอเทียบผลงาน ‘6 นางฟ้า’ กันก่อนว่า บริษัทไหนมีผลการดำเนินงานเป็นอย่างไรในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา แต่ละบริษัทมีการคาดการณ์ไตรมาส 4 และปีหน้าไว้อย่างไรบ้าง และนักลงทุนในตลาดมีปฏิกิริยาอย่างไร ส่งผลต่อราคาหุ้นในทิศทางไหน

Alphabet (บริษัทแม่ของ Google)  

รายได้ 102,346 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น +16% 
กำไรสุทธิ 34,979 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  เพิ่มขึ้น +33% 
กำไรต่อหุ้น (EPS) 2.87 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น +35%

ไฮไลต์ผลการดำเนินงานของ Google คือการทำรายได้รายไตรมาสทะลุ 100,000 ล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก โดยมีกลุ่มธุรกิจที่ทำรายได้เติบโตอย่างโดดเด่นเป็นเลขสองหลัก ได้แก่ Google Search & Other มีรายได้ 56,600 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 15% ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของธุรกิจ Search แม้มีคู่แข่งเป็น AI ที่เกิดขึ้นมาใหม่จำนวนมาก, Google Cloud (GCP) มีรายได้ 15,200 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 34% เป็นธุรกิจที่เติบโตเร็วที่สุด เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ AI (AI Infrastructure), YouTube มีรายได้ 10,300 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 15% ยังคงเติบโตอย่างมั่นคงจากทั้ง Ad และ Subscription และ Google Services มีรายได้ 87,100 ล้าน เพิ่มขึ้น 14%

คณะผู้บริหารของ Alphabet นำโดยซีอีโอ ซุนดาร์ พิชัย (Sundar Pichai) ได้เน้นย้ำถึงการมุ่งเน้นในกลยุทธ์ ‘AI First’ และได้ประกาศตัวเลขที่ส่งผลต่อการคาดการณ์ในอนาคตอย่างชัดเจน คือ การเพิ่มงบประมาณลงทุน (CapEx) โดยปรับเพิ่มคาดการณ์ CapEx รวมของปีงบฯ 2025 ขึ้นอีกครั้ง จากเดิมคาดไว้ประมาณ 85,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มเป็น 91,000 ล้านดอลลาร์ ถึง 93,000 ล้านดอลลาร์  

ตัวเลขงบลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้นนี้สะท้อนถึงการเร่งลงทุนในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI Infrastructure เพื่อรองรับดีมานด์ของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเพื่อเสริมศักยภาพผลิตภัณฑ์ AI ของ Google เอง (เช่น AI Overviews และ AI Mode ใน Search) ซึ่งซีอีโอของ Alphabet บอกว่า “AI กำลังขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางธุรกิจที่แท้จริงในทุกส่วนของบริษัท”

รายงานผลการดำเนินงานของ Alphabet เปิดเผยว่า Google Cloud ได้เซ็นสัญญามูลค่าสูงกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2025 มากกว่าที่ทำได้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมารวมกัน เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าลูกค้าองค์กรกำลังใช้ AI Products ของ Google นอกจากนั้น ยอด Cloud Backlog (มูลค่าสัญญาระยะยาวที่รอรับรู้รายได้) ในไตรมาสที่ 3 ปี 2025 พุ่งขึ้น 46% จากไตรมาส 2 ปี 2025 สู่ 155,000 ล้านดอลลาร์ เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงดีมานด์ที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องในบริการ Cloud และ AI ของ Google ในปี 2026

ผลต่อราคาหุ้นหลังประกาศ: Google ประกาศผลการดำเนินงานหลังปิดตลาดวันที่ 29 ตุลาคม ส่งผลให้ราคาหุ้น GOOGL (หุ้น Class A) ในการซื้อขายช่วงหลังปิดตลาดเพิ่มขึ้นประมาณ 8% และเปิดตลาดวันที่ 30 ตุลาคม เพิ่มขึ้นประมาณ 6.2% ก่อนจะปรับเพิ่มขึ้นอีกในการซื้อขายระหว่างวัน

Amazon 

รายได้: 180,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น +13% 
กำไรสุทธิ: 21,187 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น +38.22 
กำไรต่อหุ้น (EPS): 1.95 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น +36% 

ไฮไลต์ผลการดำเนินงานของ Amazon อยู่ที่ AWS ซึ่งมีรายได้ 33,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อัตราการเติบโตเร่งตัวขึ้นถึง 20.2% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุดตั้งแต่ปี 2022 และเป็นผลงานที่เหนือคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่กังวลว่า AWS จะถูกคู่แข่งอย่าง Microsoft Azure และ Google Cloud แย่งส่วนแบ่งไป แต่การเติบโตนี้ยืนยันว่า AWS ยังคงเป็นผู้นำตลาด Cloud ที่แข็งแกร่ง

แอนดี แจสซี (Andy Jassy) ประธานและซีอีโอของ Amazon (แอมะซอน) กล่าวว่า Amazon ยังคงเห็นโมเมนตัมและการเติบโตที่แข็งแกร่งทั่วทั้งองค์กร เนื่องจากมี AI เป็นปัจจัยขับเคลื่อนการพัฒนาที่สำคัญในทุกส่วนของธุรกิจ AWS เติบโตในอัตราสูงอย่างที่ไม่เคยเห็นนับตั้งแต่ปี 2022 ขณะเดียวกันก็มีดีมานด์ที่แข็งแกร่งในด้าน AI และโครงสร้างพื้นฐานหลัก (Core Infrastructure) เพื่อตอบสนองต่อดีมานด์นี้ Amazon ได้เร่งกำลังการผลิต โดยเพิ่มการผลิตไฟฟ้าได้มากกว่า 3.8 กิกะวัตต์ ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่าผู้ให้บริการระบบคลาวด์รายอื่น

ผู้บริหาร Amazon คาดการณ์ไตรมาส 4 ว่ารายได้จะอยู่ที่ประมาณ 206,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ - 213,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นโตขึ้น 10% ถึง 13%

ผลต่อราคาหุ้นหลังประกาศ: ด้วยผลงานที่เหนือคาดของ Amazon ส่งผลให้ราคาหุ้นที่ซื้อขายกันหลังเวลาทำการวันที่ 30 ตุลาคม พุ่งขึ้นมากถึงประมาณ 12% และเปิดตลาดวันที่ 31 ตุลาคม เพิ่มขึ้น +12.27% ทำ all-time high ที่ 250.20 ดอลลาร์

Apple 

รายได้: 102,466 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น +8% 
กำไรสุทธิ 27,466 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น +86%
กำไรต่อหุ้น (EPS) 1.85 ดอลลาร์สหรัฐ +13% 

ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้ 12 เดือน ปีงบฯ 2025 (สิ้นสุดเดือนกันยายน) ของ Apple อยู่ที่ 416,161 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำสถิติรายได้รายปีสูงสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมด้วยอัตรากำไรขั้นต้น 47.2% ซึ่งทั้งรายได้ กำไร และอัตรากำไร ล้วนสูงกว่าคาดการณ์ 

ไฮไลต์ผลการดำเนินงานของ Apple อยู่ที่ธุรกิจ Services ซึ่งทำสถิติรายได้รายไตรมาสสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 28,800 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 15% เป็นธุรกิจที่เติบโตเร็วที่สุดของบริษัท และที่ดีรองลงมา คือ iPhone ที่ทำยอดขายได้ 49,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 6% โดยได้แรงหนุนจาก iPhone 17 Series แม้จะเปิดตัวในช่วงท้ายๆ ของไตรมาส 

ส่วนไฮไลต์ในทางลบ คือ ยอดขายในภูมิภาคจีนแผ่นดินใหญ่ (Greater China Region ประกอบด้วย จีน ฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน) ลดลง 4% เหลือ 14,500 ล้านดอลลาร์ นับเป็นจุดอ่อนหลักของ Apple ในไตรมาสดังกล่าว 

สำหรับคาดการณ์ไตรมาส 4 ซึ่งนับเป็นไตรมาส 1 ในปีงบ 2026 ของ Apple ผู้บริหาร Apple คาดการณ์ว่า รายได้จากการขาย iPhone จะเติบโตในระดับเลขสองหลัก และรายได้รวมจะเติบโต 10% ถึง 12% ซึ่งจะกลายเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท 

ผลต่อราคาหุ้นหลังประกาศ: Apple ประกาศผลการดำเนินงานหลังปิดตลาดวันที่ 30 ตุลาคม ส่งผลให้ราคาหุ้นที่ซื้อขายกันหลังเวลาทำการวันที่ 30 ตุลาคม เพิ่มขึ้นประมาณ 3% และเปิดตลาดวันที่ 31 ตุลาคม เพิ่มขึ้น 2.06% แม้จะเพิ่มไม่มากแต่ก็เป็นระดับ all-time high ที่ 276.99 ทั้งนี้ นักวิเคราะห์และนักลงทุนมุมมองเชิงบวกอย่างระมัดระวัง โดยมองว่าผลงานของ Apple ยืนยันถึงความแข็งแกร่งของโมเดลธุรกิจ แต่ก็ยังมีความท้าทายที่ต้องติดตาม

Meta 

รายได้ 51,242 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น +26% 
กำไรสุทธิ  2,709 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง -83% 
กำไรต่อหุ้น (EPS) 1.05 ดอลลาร์สหรัฐ ลดลง -83% 

Meta คือนางฟ้าตกสวรรค์ประจำไตรมาสนี้ แม้รายได้จะเพิ่มขึ้นแต่กำไรลดลงมากถึง -83% เนื่องจาก Meta ได้บันทึกค่าใช้จ่ายทางภาษีแบบครั้งเดียวจำนวน 15,930 ล้านดอลลาร์ หากไม่รวมค่าใช้จ่ายทางภาษีนี้ กำไรสุทธิของ Meta จะเป็น 18,640 ล้านดอลลาร์ และกำไรต่อหุ้นจะเป็น 7.25 ดอลลาร์ 

มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Meta กล่าวว่า ไตรมาสนี้ธุรกิจและชุมชนของ Meta มีความแข็งแกร่ง Meta Superintelligence Labs เริ่มต้นได้อย่างยอดเยี่ยม และ Meta ยังคงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมแว่นตา AI 

“หากเราสามารถคว้าโอกาสที่อยู่ข้างหน้าได้แม้เพียงบางส่วน ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรา” ซีอีโอ Meta กล่าว 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน (ซีเอฟโอ) ของ Meta คาดการณ์ผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ว่าจะมีรายได้ 56,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ - 59,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าอัตราภาษีไตรมาส 4 จะอยู่ที่ 12% ถึง 15% และปรับเพิ่มคาดการณ์ค่ารายจ่ายลงทุนในปี 2025 ขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 70,000 ล้านดอลลาร์ ถึง 72,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่ 66,000 ล้านดอลลาร์ ถึง 72,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

นอกจากนั้น คาดว่าในปี 2026 จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมากในด้านโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าใช้จ่ายด้านคลาวด์ และ AI ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายด้านทุนและค่าใช้จ่ายรวมในปี 2026 เพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าปี 2025

ผลต่อราคาหุ้นหลังประกาศ: ราคาหุ้น Meta เปิดตลาดวันที่ 30 ตุลาคม ร่วงลงแรงลงประมาณ -12% เนื่องจากกำไรลดลงมาก และมีการประกาศว่าปีงบฯหน้าจะใช้เงินลงทุนสูงขึ้นมาก 

Microsoft 

รายได้ 77,673 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น +18% 
กำไรสุทธิ 27,747 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น +12%
กำไรต่อหุ้น (EPS) 3.72 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น +13% 

ไฮไลต์ผลการดำเนินงานของ Microsoft อยู่ที่ธุรกิจคลาวด์ ซึ่ง Microsoft Cloud ทำรายได้ 49,100 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 26% โดยรายได้ Intelligent Cloud อยู่ที่ 30,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 28% มีตัวขับเคลื่อนสำคัญ คือ รายได้จาก Azure และบริการคลาวด์อื่นๆ ที่เพิ่มขึ้น 40% 

สัตยา นาเดลลา (Satya Nadella) ประธานและซีอีโอของ Microsoft กล่าวว่า การลงทุนมหาศาลของ Microsoft ในเทคโนโลยีคาวด์และ AI กำลังให้ผลตอบแทนที่ดี ทั้งในแง่ของการใช้งานที่แพร่หลาย และการสร้างรายได้จริง และนั่นคือเหตุผลที่ Microsoft จะเพิ่มการลงทุนใน AI อย่างต่อเนื่อง โดยจะเพิ่มทรัพยากรทั้งในด้านเงินทุนและบุคคลากรเก่งๆ เพื่อคว้าโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า 

ผลต่อราคาหุ้นหลังประกาศ: แม้รายได้และกำไรของ Microsoft เพิ่มขึ้นเหนือกว่าคาดการณ์ แต่ราคาหุ้นของ Microsoft กลับปรับตัวลงเนื่องจากนักลงทุนกังวลกับแผนการลงทุนที่ใช้งบประมาณสูง โดยร่วงลงประมาณ 3% - 4% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการวันที่ 29 ตุลาคม แล้วเปิดตลาดเช้าวันที่ 30 ตุลาคม ลดลง -2.04%  

Tesla 

รายได้ 28,095 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น +12% 
กำไรสุทธิ 1,373 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง -37%
กำไรต่อหุ้น (EPS) 0.39 ดอลลาร์สหรัฐ ลดลง -37% 

ไฮไลต์ผลงานของ Tesla ในไตรมาส 3 ปี 2025 คือยอดส่งมอบรถยนต์รายไตรมาสสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 497,099 คัน อย่างไรก็ตาม ยอดรวมใน 3 ไตรมาสลดลง 6% จาก 3 ไตรมาสแรกของปี 2024 และรายได้จากธุรกิจยานยนต์เพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาส 3 ปี 2024 

ในขณะที่รายได้เพิ่มขึ้น กำไรสุทธิของ Tesla กลับลดลงมากถึง 37% สะท้อนถึงราคารถยนต์ที่ลดลง และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น 50% ซึ่ง Tesla ระบุว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการลงทุนด้าน AI และโครงการวิจัยและพัฒนาอื่นๆ 

ตัวขับเคลื่อนใหม่ของ Tesla คือ ธุรกิจพลังงาน (Energy) ที่ทำผลงานได้โดดเด่นและช่วยชดเชยแรงกดดันในธุรกิจยานยนต์ โดยธุรกิจผลิตและกักเก็บพลังงาน (Energy Generation and Storage) ทำรายได้ 3,420 ล้านดอลลาร์ แม้จะยังน้อย แต่เติบโต 44% 

ผลต่อราคาหุ้นหลังประกาศ: Tesla ประกาศผลการดำเนินงานในวันที่ 22 ตุลาคม ส่งให้ราคาหุ้นเปิดตลาดวันที่ 23 ตุลาคม ลดลง -4.32% เนื่องจากกำไรพลาดเป้า อัตรากำไรจากการดำเนินงานลดลงอย่างรุนแรงจาก 10.8% มาอยู่ที่ 5.8% 

แชร์
เทียบผลงาน ‘6 นางฟ้า’ ที่ประกาศงบฯ Q3 แล้ว ใครบินพุ่ง ใครร่วงตกสวรรค์?