
เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ว่าฝืดเคืองแล้ว แต่ข่าวร้ายยังไม่จบ เพราะหลายสถาบัน-องค์กรคาดว่าในปีหน้าเศรษฐกิจไทยก็จะยังอ่อนแอ และมีแนวโน้มจะอ่อนแอกว่าปีนี้
กระทรวงการคลังเป็นสถาบัน-องค์กรล่าสุดที่ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยเผยแพร่ออกมาในวันนี้ (30 ตุลาคม 2568) โดยปรับประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจในนี้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากคาดการณ์ครั้งก่อน และคาดว่าเศรษฐกิจในปี 2569 จะขยายตัวเพียง 2.0% เนื่องจากการส่งออกจะหดตัว
นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงผลการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 ว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.4% (ช่วงคาดการณ์ที่ 1.9% ถึง 2.9%) ปรับเพิ่มจากประมาณการครั้งก่อนที่ 2.2% ต่อปี (ณ กรกฎาคม 2568) เนื่องจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงปลายปีที่คาดว่าจะกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศให้ขยายตัวได้ดีในไตรมาสที่ 4 และภาคการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง
กระทรวงการคลังคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวได้ดีที่ 3.0% (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.5% ถึง 3.5%) โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของภาครัฐ เช่น โครงการ ‘คนละครึ่ง พลัส’ ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2568
มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ คาดว่าจะขยายตัวที่ 10.0% (ช่วงคาดการณ์ที่ 9.5% ถึง 10.5%) จากการเร่งส่งออกของภาคเอกชนตลอดทั้งปี โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาและตลาดจีนในไตรมาสที่ 3 ที่ขยายตัวในระดับสูงที่ 26.4% เเละ 10.8% ในสินค้าเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ยางเป็นสำคัญ
การบริโภคภาครัฐ คาดว่าจะขยายตัวที่ 0.8% (ช่วงคาดการณ์ที่ 0.3% ถึง 1.3%) ส่วนการลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ 5.6% (ช่วงคาดการณ์ที่ 5.1% ถึง 6.1%) และการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าขยายตัวที่ 1.7% (ช่วงคาดการณ์ที่ 1.2% ถึง 2.2%)
ในด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ -0.2% (ช่วงคาดการณ์ที่ -0.7% ถึง 0.3%) ลดลงจากประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากราคาพลังงานลดลงจากทั้งค่ากระแสไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงตามนโยบายของภาครัฐและราคาพลังงานในตลาดโลกปรับตัวลดลง
สำหรับเสถียรภาพภายนอกประเทศ ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2568 มีแนวโน้มที่จะเกินดุล 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 3.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)
สำหรับในปี 2569 กระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวชะลอลงที่ 2.0% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 1.5% ถึง 2.5%) เนื่องจากมีการเร่งส่งออกในปี 2568 เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการภาษีการค้าของสหรัฐฯเป็นสำคัญ โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะหดตัวที่ -1.5% (ช่วงคาดการณ์ที่ -2.0% ถึง -1.0%)
แม้การส่งออกจะหดตัว แต่กระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะมีปัจจัยสนับสนุน ดังนี้
1. ภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้น โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 35.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า จากความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ประกอบกับจะมีการจัดงานสำคัญต่างๆ เช่น งานมหกรรมพืชสวนโลกปี 2569 และการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World Bank Group - WBG) ประจำปี 2026
2. การบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวได้ดี โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ที่ 2.4% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 1.9% ถึง 2.9%)
3. การลงทุนภาครัฐขยายตัวที่ 3.0% (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.5% ถึง 3.5%) จากการเร่งรัดการเบิกจ่ายและลงทุนของภาครัฐ
สำหรับการบริโภคภาครัฐ คาดว่าจะขยายตัวที่ 1.6% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 1.1% ถึง 2.1%) และการลงทุนภาคเอกชนคาดขยายตัวที่ 1.7% (ช่วงคาดการณ์ที่ 1.2% ถึง 2.2%) ซึ่งช่วยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย
ด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 0.5% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 0.0% ถึง 1.0%) ตามทิศทางอุปสงค์ภายในประเทศที่ขยายตัวดี ขณะที่เสถียรภาพภายนอกประเทศ คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 15,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 2.5% ของ GDP (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.0% ถึง 3.0% ของ GDP)
โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวว่า กระทรวงการคลังจะมีบทบาทสำคัญในการดำเนินนโยบายการคลังภายใต้แนวคิด “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” หรือ “Quick Big Win” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ดีขึ้น ทั้งในระยะสั้นและยังคำนึงถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีความยั่งยืนในระยะยาว
“อย่างไรก็ตาม ยังควรติดตามปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด เช่น (1) นโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ และผลกระทบทางอ้อมจากการไหลเข้าของสินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีที่ย้ายตลาดเข้าสู่ไทยมากขึ้น (2) ทิศทางของการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (3) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (4) ระดับหนี้ครัวเรือนของภาคประชาชนและ SMEs และ (5) การย้ายฐานการลงทุนและการผลิตในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ” โฆษกกระทรวงการคลังแนะ