ในช่วงเวลาที่รัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร กำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งความขัดแย้งทางการเมือง สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง และสงครามการค้าระหว่างประเทศ ย่อมส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวลงอยู่แล้ว ให้มีความเสี่ยงแย่ลงไปอีก
ทำให้มีความจำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐดิจด้วยงบประมาณที่จำกัด โดยครม. วันนี้อนุมัติงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวน 115,375 ล้านบาท จากกรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ที่ในอดีตเคยจะใช้ในการโครงการแจกเงินดิจิทัล
เม็ดเงินจำนวนนี้ถูกกระจายออกเป็น 4 ด้านหลัก ๆ โดยเน้นให้เกิดผลลัพธ์รวดเร็วผ่านโครงการที่สามารถดำเนินการได้ทันที เพื่อสร้างการจ้างงาน กระจายรายได้ และทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ
1. โครงสร้างพื้นฐาน – 85,000 ล้านบาท ถือเป็นเม็ดเงินก้อนใหญ่ที่สุดในชุดมาตรการนี้ แบ่งออกเป็น
2. การท่องเที่ยว – 10,053 ล้านบาท
พัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและความปลอดภัย รวมถึงส่งเสริมกิจกรรมกระตุ้นการใช้จ่าย เพื่อดึงดูดทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
3. ช่วยเหลือภาคส่งออกและเพืิ่มผลิตภาพการผลิต – 11,122 ล้านบาท
เน้นบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้า โดยเฉพาะแรงงานในภาคอุตสาหกรรมดิจิทัลและการเกษตร โดยแบ่งงบออกเป็น
-ด้านดิจิตอล 962 ล้านบาท
-ลดผลผลกระทบแรงงาน 10,000 ล้านบาท
-ด้านการเกษตร 160 ล้านบาท
4. เศรษฐกิจชุมชนและพัฒนาทุนมนุษย์ – 9,201 ล้านบาท
รวมถึงกองทุนหมู่บ้าน และการยกระดับคุณภาพการศึกษาผ่านงบพัฒนาทุนมนุษย์อีกกว่า
- พัฒนาเศรษฐกิจชุมชน 1560 ล้านบาท
-กองทุนหมู่บ้าน 4000 ล้านบาททุน
-ทุนมนุษย์ด้านการศึกษา 3641 ล้านบาท
รัฐบาลชี้ว่าผลที่ประชาชนจะได้รับคือ “คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น” ทั้งในแง่การมีน้ำสะอาดใช้ เดินทางสะดวกขึ้น ถนนปลอดภัยมากขึ้น ลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม-ภัยแล้ง ผลผลิตทางการเกษตรดีขึ้น และการขนส่งทำได้สะดวกกว่าเดิม ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้นตามมา
ขณะเดียวกัน ภาคการท่องเที่ยวก็จะได้ประโยชน์จากเมืองที่ปลอดภัย น่าเที่ยว ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ
ภาคธุรกิจและแรงงานก็ไม่ถูกละเลย โดยเฉพาะในกลุ่ม SME และอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า โครงการนี้จะช่วยรักษาการจ้างงานราว 100,000 ตำแหน่ง และส่งผลโดยรวมต่อการจ้างงานทั่วประเทศกว่า 7 ล้านคน
แม้จะกระจายเม็ดเงินทั่วประเทศ แต่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ได้รับงบประมาณมากสุด รองลงมาคือ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้
ผลทางเศรษฐกิจโดยรวมของมาตรการนี้ คาดว่าจะช่วยดัน GDP ได้ราว 0.4% ในระยะสั้น ซึ่งแม้จะไม่มาก แต่ถือเป็นทางเลือกที่ “รัฐบาลทำเป็นทางผ่านไม่ได้” เพราะในภาวะที่เศรษฐกิจไทยกำลังอ่อนแรง ภาคส่งออกชะลอตัว การบริโภคยังไม่ฟื้น และโลกกำลังเผชิญความเสี่ยงรอบด้าน ทั้งสงคราม การเมืองระหว่างประเทศ และภัยธรรมชาติ หากรัฐบาลไม่ขยับในเวลานี้ เศรษฐกิจไทยอาจถดถอยลึกยิ่งกว่าเดิม ดังนั้น เงิน 1.15 แสนล้านบาทนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งของการประคองประเทศให้อยู่รอดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญนี้