ธุรกิจการตลาด

TikTok รัวหมัดฮุกไม่ยั้ง เขี่ย Facebook หลุด Top 10 แอปยอดฮิต

19 ส.ค. 65
TikTok รัวหมัดฮุกไม่ยั้ง เขี่ย Facebook หลุด Top 10 แอปยอดฮิต

โควิด-19 ได้นำพาความเปลี่ยนแปลงมาสู่หลากหลายพฤติกรรมของมนุษย์รวมถึงสารพัดธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ทั้งพฤติกรรมการสั่งอาหารผ่านฟู้ดเดลิเวอรี่ การให้ความสำคัญสุขภาพ การทำงานจากที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ แต่สิ่งที่คนคิดไม่ถึงว่าจะถูก Disrupt กันได้ในเวลาไม่กี่ปี ก็คือ ‘แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย’ ที่เจ้าตลาดยักษ์ใหญ่อย่าง ‘Facebook’ โดนน้องใหม่ไฟแรงอย่าง ‘TikTok’ รัวหมัดฮุกใส่แบบไม่ยั้ง จนโซเซเสียศูนย์ โดนกรรมการนับแล้วก็ยังลุกไม่ขึ้นจนถึงตอนนี้


 
ยกที่ 1 : Facebook จากอดีตแชมป์สู่ผู้เข้าแข่งขันที่หลุด Top 10

 

Tiktok vs Facebook



หลังจากที่ก่อนหน้านี้ Facebook ประสบปัญหาผู้ใช้งาน ‘ลดลง’ ครั้งแรกตั้งแต่สร้างแอป กระทบไปถึงรายได้ของ Meta ที่ ‘ลดลง’ 1% แต่กำไรลดลง 36% และมีจำนวนผู้ใช้งาน 1.97 พันล้านคนต่อวัน ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์

 

จากแอปพลิเคชันที่เข้ามาปฏิวัติวงการสื่อและการโษฆณา ตัดภาพมาตอนนี้ Facebook กำลังถูกปฏิวัติเสียเอง จากแอปที่ติดอันดับ 1 ในเรื่องยอดการดาวน์โหลด ที่ทุกคนต้องมีติดเครื่อง มาในวันนี้ Facebook หลุดจาก 10 อันดับแอปพลิเคชันฟรีที่มียอดดาวน์สูงสุดใน App Store โดยในปี 2021 Facebook หลุดจาก 10 อันดับแอปยอดฮิตเพียง 7 ครั้ง แต่มาในปี 2022 ซึ่งผ่านไปเพียง 8 เดือน Facebook หลุดจาก 10 อันดับแอปยอดฮิตไปแล้วกว่า 97 ครั้ง แถมยังเคยหลุดต่อเนื่องนานสุด 37 วันติดต่อกัน ต่างจากปีก่อนที่หลุดโผไปเพียง 2 วันติดต่อกันเท่านั้น

 

นอกจากนี้ บน Play Store ของทางฝั่งแอนดรอยด์ ก็ไม่เห็น Facebook ติดอยู่ใน Top 10 เช่นกัน ซึ่งจากข้อมูลข้างต้น สะท้อนให้เราเห็นว่า

ผู้ใช้งานของ Facebook กำลังหยุดโตแล้วจริงๆ


 

ยกที่ 2 : TikTok น้องใหม่ ร้ายบริสุทธิ์

 

Tiktok Beat Facebook



TikTok เป็นม้ามืดของวงการสื่อโซเชียล ที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี ก็สามารถเข้ามาเป็นผู้นำของวงการ แถมยังเปลี่ยนพฤติกรรมการเสพสื่อของผู้ใช้ และการสร้างคอนเทนต์ของฝั่งครีเตอร์ ให้โลกก้าวเข้าสู่ยุคของ ‘วิดีโอสั้น’ ที่ใครๆ ก็สามารถเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ได้
 
แม้ Facebook และลูกพี่ลูกน้องร่วมบริษัทอย่าง Instagram จะงัด ‘Reels’ คอนเทนต์รูปแบบคลิปวิดีโอสั้นที่พยายามจะเป็น “TikTok สาขา 2” แต่ก็ได้รับเสียงตอบรับในแง่ลบจากผู้ใช้และครีเอเตอร์ บอกว่าทั้งสองแพลตฟอร์มกำลังเสียความเป็นตัวเองไป
 
TikTok ไม่ใช่เพียงมา Disrupt การสร้างคอนเทนต์ในรูปแบบวิดีโอสั้นเท่านั้น แต่ TikTok ยังออกฟีเจอร์การ Live พร้อมการสั่งซื้อและชำระเงินแบบ One-Stop-Service ดึงให้ผู้ให้ติดหนึบไม่ออกไปแอปไหน สกัดดาวรุ่งทั้ง Facebook, Instagram รวมไปถึง E-Commerce อื่นๆ ด้วย
 
แต่ไม่ทันที่ Facebook จะฟื้น TikTok ก็ชิงปล่อยหมัดฮุกอีกครั้งด้วยฟีเจอร์ ‘แชร์ Story จาก TikTok’ ไปยัง Facebook หรือ Instagram โดย Story ของ TikTok นั้น คล้ายกับ Story ของอีกสองแพลตฟอร์ม ที่จะสามารถลงภาพนิ่ง หรือวิดีโอขนาดสั้นได้
 
ซึ่งการแชร์สตอรีนี้ เป็นคนละส่วนกับการแชร์วิดีโอใน TikTok ไปยัง Reels ของ Instagram (Cross Posting หรือ การนำคอนเทนต์ที่สร้างบนแพลตฟอร์มหนึ่ง แชร์ไปยังอีกแพลตฟอร์มหนึ่ง) เป็นอีกฟีเจอร์หนึ่งที่ดึงให้ผู้ใช้งานที่มีบัญชีบนหลายแพลตฟอร์ม สร้างคอนเทนต์บน TikTok ก่อนเป็นอันดับแรก แล้วค่อยแชร์ไปยังแพลตฟอร์มอื่นๆ ซึ่งฟีเจอร์นี้ยังอยู่ในขั้นทดสอบ และเปิดให้ผู้ใช้งานบางส่วนเข้าถึงได้เท่านั้น ในอนาคตข้างหน้าที่ฟีเจอร์นี้ออกใช้งานจริง อาจมีหน้าตาที่เปลี่ยนไปจากนี้
 


ยกที่ 3 : แล้ว Meta จะงัด TikTok ไหวมั้ย?

 

Tiktok win Facebook

 
ปัญหาส่วนใหญ่ที่ Reels กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้คือ ครีเอเตอร์มักจะสร้างวิดีโอบน TikTok ก่อนเป็นที่แรก เนื่องจากมีเครื่องมือในการทำคลิปที่ใช้งานได้หลากหลายกว่า แล้วค่อย Cross post มายัง Reels บน Instagram ทำให้คลิปส่วนใหญ่บน Reels ติด ‘ลายน้ำ TikTok’ มาด้วย

 

เป็นการหยามน้ำหน้ากันถึงในบ้านเลยทีเดียว
 
ด้วยเหตุนี้ Meta จึงปรับปรุงอัลกอริธึมใหม่ ให้ตรวจจับลายน้ำที่อยู่บนคลิปวิดีโอ และผลักให้วิดีโอที่มีลายน้ำเหล่านั้น อยู่ในอันดับล่างๆ เมื่อเทียบกับสารพัดคลิปที่นำมาเสิร์ฟให้กับผู้ชม หรือเป็นการ ‘ลดการมองเห็น’ คลิปเหล่านั้นลงนั่นเอง
 
Facebook และ Instagram จะปรับตัวให้เหมือน TikTok ก็เห็นทีว่าจะไม่ไหว จะหลับหูหลับตามุ่งหน้าสู่ Metaverse ตามความฝันของ ‘มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก’ ก็อาจจะยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เห็นทีจะเหลือแค่การกลับไปเสริมจุดแข็งเดิมของตัวเองที่มี ที่ว่า ‘Facebook’ คือแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงคนเข้าหากัน และ ‘Instagram’ คือแพลตฟอร์มที่ทำให้ผู้ใช้ได้เห็นภาพช่วงเวลาสำคัญๆ ของคนใกล้ตัว

 

หรือไม่อย่างงั้น ก็ต้องคิดหาแนวทาง ‘ปฏิวัติวงการ’ ให้เจอ แบบที่เคยทำได้เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วให้ได้ เพราะจำนวนผู้ใช้ ก็มีแต่จะย้ายออกไปยังแพลตฟอร์มอื่นในทุกวัน

 

ที่มา : TechCrunch

advertisement

SPOTLIGHT