ธุรกิจการตลาด

เจาะแผนธุรกิจ 5 ปี ปตท. ทุ่มงบเฉียด 1 ล้านล้านบาท เน้นวัตกรรมด้านพลังงาน

1 มี.ค. 65
เจาะแผนธุรกิจ 5 ปี ปตท. ทุ่มงบเฉียด 1 ล้านล้านบาท เน้นวัตกรรมด้านพลังงาน
ไฮไลท์ Highlight
“ปีที่แล้ว ปตท.มีรายได้รวมประมาณ 2 .2 ล้านล้านบาท ปีนี้น่าจะทำได้สูงกว่านั้นเป็นไปตามราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่วนสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน หากมีการสู้รบยืดเยื้อ มีโอกาสที่ราคาน้ำมันแตะ100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งปีนี้คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 81-86 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่เรื่องนี้อยากให้มองในเรื่องความมั่นคงพลังงาน

เจาะแผนธุรกิจ 5 ปีระหว่าง 2565-2569 ปตท. ทุ่มงบเฉียด 1 ล้านล้านบาท เน้นวัตกรรมด้านพลังงาน จ่อตั้งโรงงานผลิตรถอีวีเฟสแรกช่วงครึ่งแรกของปีนี้ มองวิกฤตสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน หากมีการสู้รบยืดเยื้อต่อ มีโอกาสกระทบราคาน้ำมันพุ่งแตะ100 เหรียญ

 
 
 
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า กลุ่ม ปตท. วางแผนงานและตั้งงบลงทุน 5 ปี ระหว่าง 2565-2569 รวมกว่า 9.4 แสนล้านบาท ตามกรอบวิสัยทัศน์ “Powering Life with Future Energy and Beyond ขับเคลื่อนทุกชีวิต ด้วยพลังแห่งอนาคต”
 
 
 
สำหรับแผนธุรกิจจะเน้นไปที่กลุ่มธุรกิจใหม่ทั้งพลังงานหมุนเวียนและยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยเดินหน้าธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร ซึ่งร่วมมือกับฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn) ตั้ง บริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด (HORIZON PLUS) บริษัทร่วมทุนเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายตลาดและสร้างฐานการผลิตอีวีในไทย รวมถึงจัดตั้งบริษัท นูออโว พลัส จำกัด (NUOVO PLUS) เพื่อเป็นหลักขับเคลื่อนการลงทุนด้านแบตเตอรี่ของกลุ่ม ปตท.
 
 
ทั้งนี้ คาดว่าจะมีการลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์อีวี เฟสแรกในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 และจะสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2571 โดยในระยะแรกนี้จะสามารถผลิตรถอีวีได้ประมาณ 50,000 คันต่อปี โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
 
 
นอกจากนี้ยังได้จัดตั้งบริษัท อีวี มี พลัส จำกัด (EVME PLUS) เพื่อให้บริการด้านดิจิทัลแพลตฟอร์ม ส่งเสริม และสร้างระบบนิเวศธุรกิจให้เกิดการใช้อีว อย่างแพร่หลายในประเทศ อาทิ บริการให้เช่า บริการข้อมูลเกี่ยวกับสถานีอัดประจุไฟฟ้า และสถานีซ่อมบำรุง
 
 
ขณะเดียวกันก็จะเดินหน้ารุกธุรกิจใหม่ ที่มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทย และเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตสูงตามทิศทางโลก ด้วยการเข้าสู่ธุรกิจวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต โดยมี บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจ
 
 
นอกจากนี้ กลุ่ม ปตท. ยังมุ่งเข้าสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง ต่อยอดจากธุรกิจปิโตรเคมี ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง เสริมสร้างความแข็งแกร่งธุรกิจน้ำมันและเสริมสร้างธุรกิจไลฟ์สไตล์ ตลอดจนการเข้าสู่ธุรกิจโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐาน ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) หุ่นยนต์ และเทคโนโลยีดิจิทัล
 
 
 
“คาดว่าภายในปี 2573 บริษัทจะสามารถรับรู้รายได้จากกลุ่มธุรกิจใหม่ที่ดำเนินการอยู่เพิ่มขึ้นเป็น 30% โดยคาดว่าจะสามารถทำกำไรต่อหน่วยได้ดีกว่าธุรกิจพลังงานเดิม อาทิ น้ำมัน ซึ่งถือว่าเป็นการยกขีดความสามารถในการแข่งขันธุรกิจปัจจุบัน ตลอดจนให้การสนับสนุนภาครัฐช่วยลดต้นทุนทางพลังงานให้ประชาชนในอีกแนวทางหนึ่งด้วย” นายอรรถพล กล่าว
 
 
ส่วนความคืบหน้าโครงการคลังกักเก็บก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) หรือ เทอมินอล หนองแฟบ (แห่งที่ 2) จังหวัดระยองว่า โครงการดังกล่าวเป็นการร่วมทุนระหว่าง ปตท. กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดย กฟผ. เข้ามาร่วมทุนในเทอมินอล 2 ขนาด 7.5 ล้านตันต่อปี (MTPA) นี้
 
 
คาดว่าจะเป็นความร่วมมือแบบการร่วมลงทุนกับ บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด ถือหุ้นสัดส่วนฝ่ายละ 50% เท่ากัน โดยโครงการดังกล่าวจะใช้เงินลงทุนกว่า 38,000 และปัจจุบัน ปตท.-กฟผ. ลงนามบันทึกสาระสำคัญของสัญญาร่วมทุนโครงการก่อสร้าง คาดว่าโครงการจะดำเนินการแล้วเสร็จไตรมาสที่ 4 ปี ปีนี้
 
 
อย่างไรก็ตามผลประกอบการ ปตท. ประจำปี 2564 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2563 ซึ่งสอดคล้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัว รวมถึงความสามารถในการรักษาความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจและการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ในปี 2564 กลุ่ม ปตท. ส่งเงินเข้ารัฐกว่า 82,500 ล้านบาท
 
 
สำหรับสถานการณ์รัสเซียกับยูเครน ยอมรับว่ามีผลกระทบกับราคาน้ำมันโลก ซึ่งปีนี้คาดว่าจะอยู่ในกรอบ 81-86 เหรียญต่อบาเรล แต่หากทั้งสองประเทศสามารถเจรจาพูดคุยกันได้ประเมินว่าราคาจะลดลง ถามว่า กระทบกับไทยอย่างไร ก็มีแผนรองรับ ยืนยันว่าไม่ขาดแคลน และปตท.จัดหาน้ำมันจากแหล่งที่อยู่นอกพื้นที่ความขัดแย้งและไทยมีการซื้อน้ำมันในบริเวณนั้นน้อย และครึ่งปีนี้ไม่มีพอร์ทจากรัสเซีย
 
 
แต่ปัจจัยที่จะทำให้ราคาลดลงคืออิหร่าน หากสามารถหารือสหรัฐได้ก็อาจจะจะดีขึ้น ทั้งนี้ ปตท.ประเมินราคาก๊าซปรับสูงขึ้นแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาล แต่อยากจะขอให้ช่วยกันประหยัดพลังงาน ซึ่งราคาก๊าซขึ้นลงตามราคาน้ำมัน ตามกลไก แน่นอนว่าด้วยสถานการณ์ราคาสูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว
 
 
สำหรับ แหล่งก๊าซยาดานา เมียนมาร์ ทั่วโลกจับจ้องอยู่ การประกาศถอนตัวของบริษัท โททาลเอนเนอร์ยี่ส์ อีพี เมียนมาร์ ได้แจ้งถอนตัวจากการเป็นผู้ร่วมทุนและผู้ดำเนินการในโครงการยาดานา โดยจะยังคงเป็นผู้ดำเนินการในโครงการต่อไปอีก 6 เดือน เพื่อรักษาความต่อเนื่องในการผลิตก๊าซธรรมชาติ และเพื่อหาโอเปอเรเตอร์เข้ามาทดแทน ซึ่งเป็นเรื่องในระยะอีกไกล
 
 
ส่วนงบประมาณการอุดหนุนราคาพลังงานปี 2564 ที่ผ่านมา ปตท. การอุดหนุน ส่วนลดราคา LPG ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2564 มูลค่า 6.3 ล้านบาท ในส่วนของ NGV มีภาระจากการตรึงราคาขายปลีก ใน พฤศจิกายน-ธันวาคม 2564 มูลค่า 449 ล้านบาท สำหรับปีนี้ ต้องพิจารณาตามสถานการณ์และนโยบายรัฐบาลต่อไป
 
 

“ปีที่แล้ว ปตท.มีรายได้รวมประมาณ 2 .2 ล้านล้านบาท ปีนี้น่าจะทำได้สูงกว่านั้นเป็นไปตามราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่วนสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน หากมีการสู้รบยืดเยื้อ มีโอกาสที่ราคาน้ำมันแตะ100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งปีนี้คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 81-86 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่เรื่องนี้อยากให้มองในเรื่องความมั่นคงพลังงาน

 
 
ซึ่ง ปตท.จัดหาน้ำมันจากแหล่งที่อยู่นอกพื้นที่ความขัดแย้ง อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันโลกที่ปรับสูง ต้องมีการรณรงค์ประหยัดพลังงาน ถ้าประหยัดการใช้ดีเซลได้ 10% จากราคาจำหน่ายประมาณ 30 บาทต่อลิตร ก็จะช่วยให้ประชาชนประหยัดได้ถึง 3 บาทอีกด้วย” นายอรรถพล กล่าว
 
 
 
 
 

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT