ธุรกิจการตลาด

Grab จับมือภาครัฐ-เอกชน ร่วมขับเคลื่อนท่องเที่ยวไทย แตะเป้า 3.5 ล้านล้านบาท

15 พ.ค. 67
Grab จับมือภาครัฐ-เอกชน ร่วมขับเคลื่อนท่องเที่ยวไทย แตะเป้า 3.5 ล้านล้านบาท

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย เป็นหนึ่งในจุดแข็งของประเทศที่มีการเติบโตและสร้างเม็ดเงินจำนวนมาก โดยเฉพาะหลังจากการระบาดของโควิด-19 มีการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวและธุรกิจหลายสายงาน ซึ่งในปี 2566 ที่ผ่านมา รายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ที่ 2.13 ล้านล้านบาท หรือราว 15% ของ GDP ประเทศ

เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลได้ประกาศวิสัยทัศน์ ‘IGNITE THAILAND’ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน โดยหนึ่งในวิสัยทัศน์สำคัญที่สำคัญ คือ การพลิกฟื้นการท่องเที่ยวไทย ให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของภูมิภาค หรือ Tourism Hub จากการที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นจุดแข็งของประเทศ 

โดยปีนี้ รัฐบาลตั้งเป้าหมายรายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ที่ 3.5 ล้านล้านบาท หรือเกือบ 20% ของ GDP ซึ่งการที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อช่วยกันสนับสนุนและผลักดันให้การท่องเที่ยวไทยเติบโตถึงเป้าได้

Grab ประเทศไทย จึงจับมือกับภาครัฐและเอกชน เดินหน้าส่งเสริมยกระดับการท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาล ให้พร้อมกับพฤติกรรมยุคใหม่ภายในงานเสวนาเชิงนโยบายประจำปี ‘GrabNEXT 2024: Driving towards the Future of Tourism ขับเคลื่อนการท่องเที่ยว สู่อนาคตที่ดีกว่า’ 

ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยผ่านกลยุทธ์ T.R.A.V.E.L

นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ Grab ประเทศไทย กล่าวว่า ในฐานะซูปเปอร์แอปที่เปิดบริการมากว่า 10 ปี ครอบคลุมกว่า 700 เมืองใน 8 ประเทศอาเซียน และความมุ่งมั่นที่เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศและส่งเสริมเศรษฐกิจ Grab จึงได้จัดงาน GrabNEXT เพื่อนำความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยี และความแข็งแกร่งของอีโคซิสเต็มของ Grab มาเติมเต็ม และสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ไร้รอยต่อ

โดย Grab ได้นำความเชี่ยวชาญผ่านกลยุทธ์  T.R.A.V.E.L. ที่ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางมายังประเทศไทย สร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวแบบไร้รอยต่อ พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นและมหภาค และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน ด้วย 6 ประเด็นสำคัญดังนี้ :

  1. Technological Integration การนำเทคโนโลยีดิจิทัลอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว: ปัจจุบัน 87% ของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทยเป็นกลุ่ม F.I.T. (Free Independent Travelers) หรือนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยตนเอง และ 53% จองทริปและวางแผนการเดินทางออนไลน์ ทำให้ Grab ออกแบบและพัฒนาเทคโนโลยีมาเพื่อรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยว ตั้งแต่การวางแผนการเดินทาง (Pre-Trip) ไปจนถึงการอำนวยความสะดวกระหว่างการท่องเที่ยว (During Trip)
  2. Reliability & Safety การสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว: ความปลอดภัยเป็นปัจจัยหลักที่นักท่องเที่ยวคำนึงถึงในการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกที่พัก หรือการใช้บริการขนส่งสาธารณะต่างๆ Grab จึงได้ยกระดับความปลอดภัยผ่านการพัฒนา 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ เทคโนโลยีด้านความปลอดภัย มาตรการด้านความปลอดภัย แคมเปญรณรงค์ส่งเสริมความปลอดภัย
  3. Accessibility การส่งเสริมการเดินทางเพื่อเข้าถึงเมืองหลัก และเมืองรอง: ปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างชาติหันมาสนใจเดินทางไปยังเมืองรองมากขึ้น สะท้อนจากรายได้จากการท่องเที่ยวเมืองรองในปีที่ผ่านที่เติบโตขึ้นถึง 38% ทำให้ Grab มุ่งสร้างประสบการณ์การเดินทางแบบไร้รอยต่อด้วยบริการเรียกรถผ่านแอปที่มีให้บริการใน 71 จังหวัด และผนึกความร่วมมือกับ ท่าอากาศยานไทย เปิดจุดรับ-ส่งผู้โดยสารเพื่อให้บริการในสนามบินหลัก ทั้งภูเก็ต เชียงใหม่ ดอนเมือง และสุวรรณภูมิ 
  4. Valuable Experiences การสร้างประสบการณ์การเดินทางที่น่าจดจำ: ความเป็นเลิศในด้านการบริการที่สอดแทรกเสน่ห์ของความเป็นไทย เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดและพิชิตใจนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางกลับมาเที่ยวไทยอย่างต่อเนื่อง Grab จึงได้พัฒนาศักยภาพให้กับพาร์ทเนอร์คนขับผ่านคอร์สอบรมออนไลน์ด้านการให้บริการ การสื่อสารภาษาต่างประเทศอย่างอังกฤษ และจีน และการขับขี่อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ ยังยกระดับบริการ GrabCar Premium ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยมอบความสะดวกสบายสุดเอ็กซ์คลูซีฟในทุกการเดินทาง
  5. Environmentally Friendly การส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบรักษ์โลก: โดยข้อมูลจาก Expedia พบว่า 90% ของนักท่องเที่ยวให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืน ทำให้ Grab มุ่งพัฒนาและนำเสนอตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับผู้ใช้บริการ เช่น โครงการ Grab EV และการพัฒนาฟีเจอร์ชดเชยการปล่อยคาร์บอน หรือ Carbon Offset 
  6. Local Touch การผลักดันให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสประสบการณ์ท้องถิ่น: ข้อมูลจาก Expedia พบว่า 65% ของนักท่องเที่ยวให้ความสนใจที่จะมาสัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่น ดังนั้น Grab จึงมุ่งสนับสนุนการเข้าถึงประสบการณ์ท้องถิ่น และวัฒนธรรมไทยในมิติต่างๆ ซึ่งในไตรมาสแรกปีนี้ นักท่องเที่ยวเดินทางไปสนามมวยเพิ่มขึ้น 150% YoY ในขณะที่ นักท่องเที่ยวสั่งของจากร้านค้าชุมชนบน GrabMart เพิ่มขึ้น 100% เทียบระหว่างเดือนเมษายนปี 2566 และปีนี้

ฟังมุมมองจากผู้ทรงคุณวุฒิในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า เป้าหมายของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในปีนี้ คือ การทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก นอกจากการยกระดับประเทศไทยให้เป็น Tourism Hub แล้ว ภาครัฐ ยังต้องการที่จะบรรลุเป้าหมายของการเป็น Aviation Hub ที่มีศักยภาพรองรับนักท่องเที่ยวและผู้เดินทางกว่า 150 ล้านคนต่อปีภายในปี 2573 ตามนโยบายของรัฐบาลด้วยเช่นกัน 

ไม่เพียงเท่านี้ ทางรัฐบาลยังต้องการให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวมาทั้งปี ไม่ใช่เพียงแค่ช่วง high seasons เท่านั้น แต่ช่วง low seasons เช่นกัน 

โดยในปีนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะกระทรวงหลักในการหารายได้เข้าประเทศ จะทุ่มและวางแผนให้การท่องเที่ยวไทย สามารถเที่ยวได้ทุกฤดู

ทางด้านนายนิธิ สีแพร รองผู้ว่าการด้านการสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มองว่า การที่จะทำให้การท่องเที่ยวไทยเป็น high-value destination หรือจุดหมายปลายทางที่มีมูลค่าสูง ต้องเริ่มจากการรู้จักกลุ่มเป้าหมายและไลฟ์สไตล์ให้ดีพอ เพื่อมองประสบการณ์และคุณค่าที่ดีต่อกลุ่มนักท่องเที่ยว รวมไปถึงการทำเทคโนโลยีที่มีมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ซึ่งการท่องเที่ยวไทยไม่สามารถทำได้ฝ่ายเดียว จึงต้องการความร่วมมือทั้งจากภาครัฐ เอกชน ประชาชน และ Grab ประเทศไทย

ส่วน ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรติ เผยว่า การท่องเที่ยวเป็นฟันเฟืองที่สำคัญต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดก่อนช่วงโควิด-19 ที่มีนักท่องเที่ยวมาประเทศไทยสูงถึง 40 ล้านราย ซึ่งปัจจุบันจำนวนใกล้แตะก่อนโควิดแล้ว ซึ่งการที่จะทำให้การท่องเที่ยวมีการเติบโตและยั่งยืน นอกจากการเพิ่มมูลค่าแล้ว การขยายการท่องเที่ยวสู้เมืองรองเป็นเรื่องที่สำคัญมากเช่นกัน เนื่องจากพฤติกรรมนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน มีความสนใจท่องเที่ยวในเมืองรองมากขึ้น และสำหรับภาครัฐ ยังเป็นการกระจายความเสี่ยงและรายได้ให้ทุกภาคส่วน เห็นได้ชัดจากการระบาดของโควิดที่ผ่านมา

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT