
การที่หลายบริษัทใหญ่ในอุตสาหกรรมบันเทิงโลก ทั้งพาราเมาต์ (Paramount) เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) และคอมแคสต์ (Comcast) ยื่นขอเสนอซื้อกิจการ วอร์เนอร์ บราเธอร์ส ดิสคัฟเวอรี (Warner Bros. Discovery Inc.) เป็นข่าวใหญ่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน
กระทั่งเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2025 (เวลาสหรัฐฯ) มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่า วอร์เนอร์ บราเธอร์ส ตัดสินใจขายกิจการให้เน็ตฟลิกซ์ กลายเป็นข่าวใหญ่สะเทือนโลกบันเทิงและผู้บริโภคทั่วโลกยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะนั่นหมายความว่า สองแพลตฟอร์มสตรีมมิงเจ้าดัง คือ Netflix และ HBO กำลังจะมีเจ้าของเดียวกัน และมีความเป็นไปได้ที่จะควบรวมเหลือเพียงแพลตฟอร์มเดียวในอนาคต
วอร์เนอร์กับเน็ตฟลิกซ์บรรลุข้อตกลงซื้อขายกิจการสตรีมมิงและสตูดิโอภาพยนตร์ ในราคา 27.75 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น รวมมูลค่า 82,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2,637,500 ล้านบาท) ซึ่งเป็นมูลค่าสูงกว่าดีลใด ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในฮอลลีวูด
อย่างไรก็ตาม เพียงสองวันถัดมา ในวันที่ 7 ธันวาคม โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ออกมาเบรกว่า ดีลระหว่างเน็ตฟลิกซ์กับวอร์เนอร์อาจไม่ผ่านด่านกฎหมายต่อต้านการผูกขาด (Antitrust) เพราะส่วนแบ่งตลาดสตรีมมิงของเน็ตฟลิกซ์ใหญ่มากอยู่แล้ว หากซื้อวอร์เนอร์ไป จะยิ่งใหญ่ขึ้นจนอาจเป็นปัญหาหรือไม่
แล้วจากนั้น ความเคลื่อนไหวรอบใหม่ก็ตามมาแบบทันควัน ในวันที่ 8 ธันวาคม พาราเมาต์ประกาศยื่นคำเสนอซื้อกิจการอย่างไม่เป็นมิตร เสนอราคา 30 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น เป็นมูลค่ารวม 108,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3,456,700 ล้านบาท)
ในด้านการจัดหาเงินทุนสำหรับซื้อกิจการ เน็ตฟลิกซ์กู้เงินจำนวน $59,000 ล้าน จากธนาคาร Wells Fargo, BNP และ HSBC ส่วนฝั่งพาราเมาต์ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเอลลิสัน (Ellison) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท และจาก RedBird Capital นอกจากนั้นยังกู้ยืมจากหลายแหล่งทุน ทั้ง Bank of America, Citibank, Apollo, กองทุนจากซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ อาบูดาบี และ Affinity Partners ของจาเร็ด คุชเนอร์ (Jared Kushner) ลูกเขยทรัมป์)
นักวิเคราะห์บางคนวิเคราะห์ว่า เหตุผลที่ทรัมป์ไม่อยากให้เน็ตฟลิกซ์คว้าวอร์เนอร์ไปนั้น เพราะเขาต้องการฟื้นคืนความคึกคักของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในฮอลลีวูด โดยดึงการผลิตเข้าสู่ประเทศมากขึ้น ขณะที่เน็ตฟลิกซ์มีนโยบายส่งเสริมการผลิตเนื้อหาในท้องถิ่นทั่วโลก ซึ่งไม่ใช่แนวทางที่ทรัมป์โปรดปราน
นักวิเคราะห์ในตลาดทุนมองว่า ศึกนี้ยังต้องต่อสู่กันอีกยาว มีความเป็นไปได้เพียง 16% เท่านั้นที่เน็ตฟลิกซ์จะปิดดีลได้ภายในปี 2026
นอกจากราคาที่สองฝั่งเสนอต่างกันแล้ว มาดูกันว่าเน็ตฟลิกซ์กับพาราเมาต์มีข้อเสนอต่างกันอย่างไรบ้าง
รายการคำเสนอซื้อ / บริษัท | Netflix | Paramount |
|---|---|---|
มูลค่าเสนอซื้อรวม | $82,700 ล้าน | $108,400 ล้าน |
ส่วนกิจการที่ซื้อ | ธุรกิจสตรีมมิงและสตูดิโอภาพยนตร์ | ทั้งบริษัท Warner Bros. Discovery Inc. |
ราคาเสนอซื้อต่อหุ้นและรูปแบบการชำระ | หุ้นละ $27.75 ชำระด้วยเงินสดและหุ้น | หุ้นละ $30 ชำระด้วยเงินสดทั้งหมด |
การสนับสนุน | ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริษัท Warner Bros. แล้ว | อ้างว่าได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ |
ความท้าทายทางกฎหมาย | คาดว่าหน่วยงานกำกับดูแลด้านการต่อต้านการผูกขาดจะมุ่งพิจารณาการผูกขาดตลาดสตรีมมิงเป็นหลัก | ข้อตกลงนี้จะเกิดการควบรวมทั้งสตูดิโอภาพยนตร์รายใหญ่ของฮอลลีวูด ธุรกิจเคเบิลทีวีสองบริษัท และธุรกิจสำนักข่าวหัวใหญ่สองบริษัทเข้าด้วยกัน ซึ่งอาจเผชิญการตรวจสอบการผูกขาดในแต่ละอุตสาหกรรม |
ค่าชดเชยยุติดีล กรณีไม่ได้รับอนุมัติทางกฎหมาย หรือต้องการยกเลิกการซื้อ | Netflix จ่าย $5,800 ล้าน | Paramount จ่าย $5,000 ล้าน |
ค่าชดเชยที่ Warner Bros. ต้องจ่ายให้ผู้ซื้อ หากตกลงขายแล้วต้องการยกเลิกดีล | $2,800 ล้าน (ประมาณ 3.89% ของมูลค่าหุ้น) | 3.75% ของมูลค่าหุ้น (ประมาณ $2,900 ล้าน) |
ที่มา: Bloomberg สรุปจากเอกสารคำเสนอซื้อของสองบริษัท ณ วันที่ 8 ธ.ค. 2568