Logo site Amarintv 34HD
อมรินทร์ทีวีแจกใหญ่ส่งท้ายปี ดูทั้งวันแจกทุกวันLogo Seagame2025Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
วิเคราะห์กลยุทธ์ที่จะพาแบรนด์โตในปี 2026  จาก Attention สู่ Conversion
โดย : Ogilvy

วิเคราะห์กลยุทธ์ที่จะพาแบรนด์โตในปี 2026 จาก Attention สู่ Conversion

4 ธ.ค. 68
16:27 น.
แชร์

ปี 2026 จะเป็นปีที่นักการตลาดในเอเชียต้อง “เล่นเกมเร็วขึ้น แต่แม่นยำกว่าเดิม” เพราะทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนเร็วขึ้น ค่าโฆษณาที่สูงขึ้น และการเติบโตที่ยากขึ้นในหลายหมวดหมู่ ล้วนทำให้แบรนด์ต้องคิดใหม่ ทำใหม่ แบบได้ผลจริงในทุกบาทของงบประมาณ

ในช่วงเวลาที่หลายแบรนด์กำลังเตรียมรับมือกับปีหน้าที่แสนท้าทายนี้ เราได้ถอดรหัส 2 กลยุทธ์การตลาดที่น่าสนใจ จาก The 2025 Ogilvy APAC Book of Growth หลักสูตรที่รวบรวมเคสที่ประสบความสำเร็จของ Ogilvy ASIA มาแชร์เป็นไอเดียดีๆ เพื่อต่อยอดกลยุทธ์ของแบรนด์ให้แข็งแรงยิ่งขึ้นไปด้วยกัน

เริ่มกันที่กลยุทธ์แรก “ออกแบบให้ทุก Touchpoint พร้อมปิดการขาย โดยไม่เสียอารมณ์การเสพคอนเทนต์”
เพราะ Commerce ไม่ใช่แค่จุดขายช่องทางใดช่องทางหนึ่งบนแพลตฟอร์มอีกต่อไป แต่เกิดได้ทุกที่ ทุก Touchpoint

การเติบโตของระบบ E-Commerce ได้ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง เส้นทาง Customer Journey ไม่ได้ค่อยๆ รับสาร สนใจหาข้อมูล แล้วไปหาซื้ออีกต่อไป กระบวนการนั้นถูกตัดตอนให้เร็วขึ้นถึงขั้นว่า เมื่อคนรับรู้ จากคอนเทนต์รีวิว หรือเห็นโฆษณาผ่านหน้าฟีดที่รู้สึกใช่ และชอบก็ช้อปได้ทันที แบบ “ดูไป ซื้อไป”  ลองนึกภาพตัวคุณหรือคนรอบตัวไถ TikTok หรือ ดูไลฟ์ในแอปช้อปปิ้งออนไลน์ต่างๆ แล้วกดช้อปแบบเพลินๆ นั่นแหละ คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจนกลายเป็นเรื่องปกติในวันนี้

ยิ่งหลายแพลตฟอร์มมี Flash Deal ที่กระตุ้นให้คนตัดสินใจเร็วขึ้น เกือบทุกแพลตฟอร์มมีฟังก์ชั่น พร้อมอำนวยความสะดวกให้กดซื้อได้ทันที แน่นอนเมื่อกระตุ้นให้เกิดความอยากได้แล้ว ถ้าเป็นสินค้าที่ราคาจ่ายไหว ก็แทบไม่เหลือเหตุผลให้ต้องรอไปช้อปทีหลัง กดจ่ายเลย คุ้มกว่า สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยกระตุ้น ที่หล่อหลอมเทรนด์พฤติกรรมการช้อปปิ้งใหม่ให้เกิดขึ้น 

หัวใจสำคัญ ในการสอดแทรกแบรนด์เข้าไปใน Customer Touchpoint แบบขายของได้ และได้ใจลูกค้าด้วย คือ

  • วางแผนให้ ‘ทุกช่องทาง’ เป็นจุดขาย ดูเพลินๆ สนใจปุ๊บต้องซื้อได้เลย
    เกือบทุกออนไลน์ แพลตฟอร์มทำปุ่มให้คนกดซื้อง่ายขึ้นแล้ว เช่น TikTok Shop หรือ Facebook เป็นต้น แต่หากคุณไม่ต้องการให้ซื้อในแพลตฟอร์มนั้น อาจใช้วิธีแนบลิงก์ หรือแปะ QR Code ให้กดไปซื้อที่ร้านค้าแบรนด์บนแพลตฟอร์มหลักสะดวกขึ้นก็ทำได้  เช่น Shopee, Lazada, Grab, LINE, และ เว็บไซต์ของแบรนด์

หากเป็นการโปรโมทที่ช่องทาง ออฟไลน์ และคุณไม่มีสินค้าพร้อมจำหน่ายวางตรงนั้น อย่าลืมแนบ QR Code ในจุดที่เห็นชัด เพื่อให้คนเชื่อมต่อกับร้านค้าบนช่องทางออนไลน์ที่เตรียมไว้ หรือตัวแทนจำหน่ายของแบรนด์ เราเรียกเทคนิคนี้ว่า O2O หรือ (Offline to Online channel)

  • สร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่มีอารมณ์ร่วม การขายแบบฮาร์ดเซลล์ ตะโกนบอกข้อดีออกไปตรงๆ ก็กระชับ ตรงประเด็นดี สำหรับลูกค้าที่รู้จักแบรนด์หรือมีความต้องการสินค้าอยู่ก่อนแล้ว แต่ถ้าคุยกับคนใหม่ๆ ที่ยังไม่มีความต้องการสินค้านั้น ควรเริ่มต้นด้วยการสร้างประสบการณ์ร่วมกันก่อน หาจุดสนใจร่วม รวมไปถึงอาจกระตุ้นให้คนได้ตระหนักถึงปัญหาที่ยังไม่ถูกแก้ไข หรือความต้องการอยากเติมเต็ม เพื่อเสนอสินค้าหรือบริการของแบรนด์ที่ตอบโจทย์ได้

วิธีการยกตัวอย่าง เช่น

  • Gamification ชวนคนมาเล่นสนุกกับแบรนด์ในรูปแบบของเกม ที่สอดแทรกเรื่องราวสินค้าเข้าไป
  • ใช้ AR เทคโนโลยีเพิ่มลูกเล่นความน่าสนใจใหม่ๆ
  • เข้าไปเล่นกับเหล่า Fandom แบบเข้าใจอินไซด์ ก็ช่วยให้ได้ใจ เพราะแบรนด์สนับสนุนคนที่เหล่าแฟนคลับรัก
  • Real-time moments เล่นกับเทรนด์ เหตุการณ์ที่กำลังเป็นกระแส

ใช้ Influencer เป็น “ร้านค้า” แบบ real-time ผ่าน social commerce

อวสานอินฟลูเอนเซอร์ ยังไม่เกิดขึ้นจริง ผลวิจัยจาก Nielsen ที่ถูกเผยแพร่ในงาน Thailand Influencer Awards โดย Tellscore แพลตฟอร์มผู้ให้บริการด้านแพลตฟอร์มการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งชื่อดังของไทย แสดงให้เห็นว่า 80% ของผู้บริโภคมีการซื้อสินค้าตามคำแนะนำของ Influencer ที่ชื่นชอบ ติดตามดูรีวิวจาก KOL (Key opinion leader) หรือ KOC (Key opinion consumer) เพื่อประกอบการตัดสินใจ และ 55% ของผู้บริโภคติดตามอินฟลูเอนเซอร์เพราะได้ส่วนลดและโปรโมชั่นดีๆ

และบทบาทของครีเอเตอร์ในวันนี้ไม่ใช่แค่สร้างการรับรู้ แต่ยังเปลี่ยนรูปแบบไปเป็น ‘ผู้ช่วยขาย’ หรือ ‘ร้านค้าสาขาย่อย’ ของแบรนด์ ผ่านรูปแบบของ Affiliate Marketing ที่สามารถแนบลิงก์ หรือติดตะกร้า ให้คนไปซื้อตามได้เลย  อัปเลเวลจากคอนเทนต์รีวิวสินค้าธรรมดา กลายเป็นสร้างยอดขายได้ทันที

ตัวอย่างแบรนด์ที่นำกลยุทธ์เหล่านี้ไปใช้ แล้วเวิร์คจนได้ทั้งกระแส และยอดขาย ได้แก่

KFC Australia – “Flying High in a Frugal World” (โดย Ogilvy Australia)
ผสาน App + Experience commerce เปลี่ยนการซื้อในแอปให้กลายเป็น “พาสปอร์ตสู่การผจญภัยรสชาติทั่วโลก” ทำยอด Digital Sales โต +27% โดยไม่ต้องพึ่งส่วนลดราคาใด ๆ
(แนบ VDO โอตัวอย่างเคส KFC Australia)

COLGATE  – ORAL HEALTH MOVEMENT
อินเดียกำลังเผชิญวิกฤตสุขภาพช่องปาก ด้วย 90% ของประชากรมีปัญหาช่องปาก แต่มีเพียง 9% เท่านั้นที่ไปพบทันตแพทย์ Colgate จึงริเริ่มโครงการ Oral Health Movement (OHM) เพื่อลดช่องว่างนี้ ผ่านการเปลี่ยน WhatsApp แอปสื่อสารยอดนิยมของอินเดีย ให้กลายเป็นเครื่องมือคัดกรองสุขภาพช่องปากที่เข้าถึงง่าย

ด้วยการผสาน AI เข้าในรูปแบบแชทที่ผู้บริโภคคุ้นเคย OHM ช่วยขจัดอุปสรรคแบบเดิม และมอบการประเมินสุขภาพที่รวดเร็ว ใช้งานง่าย และนำไปใช้ได้จริง แคมเปญสร้างยอดสแกนมากกว่า 2.1 ล้านครั้ง ภายใน 47 วัน หลักเปิดตัวแคมเปญ และเพิ่มอัตราการพบทันตแพทย์อย่างมีนัยสำคัญ OHM จึงถือเป็นนวัตกรรมที่ทำให้ทุกคนเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญด้านช่องปากได้อย่างเท่าเทียม ส่งเสริมการดูแลเชิงป้องกัน และนิยามบทบาทช่องทางการสื่อสารใหม่อย่างแท้จริงที่ไม่ใช่แค่แบรนด์มาขายของแต่ช่วยแก้ปัญหาผู้คนจำนวนมากได้ และกลายเป็นการสร้างฐาน CRM Database ที่มีคุณภาพของแบรนด์ด้วย(แนบ VDO โอตัวอย่างเคส – ORAL HEALTH MOVEMENT)

ดังนั้นสรุปสั้นๆ สำหรับกลยุทธ์แรก “อย่ามอง commerce เป็นช่องทางสุดท้ายในการขาย แต่ต้องฝังอยู่ตั้งแต่ไอเดียแรกของแคมเปญ”

กลยุทธ์ถัดไปคือ วิธีการ  ‘Maximize Impact on Tight Budget’ ... สร้างผลลัพธ์ให้ได้มากขึ้นในงบจำกัด
เมื่องบไม่เพิ่ม แต่สเกลงานและผลตอบแทนต้องไปให้ไกลกว่าเดิม นักการตลาดยิ่งต้องพิสูจน์ ROI ให้ได้มากที่สุดในทุกบาทที่ใช้ เพราะงบส่วนใหญ่มีแนวโน้ม “คงที่หรือชะลอ” แต่ค่าคลิก ค่ามีเดียกลับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หัวใจสำคัญ ในการสร้าง Impact แบบใช้งบน้อยแต่ชนะ

  • ใช้ AI + Automation เพื่อสร้างเนื้อหาแบบ Personalization ที่คุ้มที่สุด
    คนจะยิ่งรู้สึกพิเศษ และเกิดความรู้สึกเชื่อมโยงมากขึ้น เมื่อเราใช้ข้อความสื่อสารที่ ‘คุยด้วยแบบเฉพาะเจาะจง ถูกบริบท และอินไซต์’ ของผู้รับสารที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามการทำคอนเทนต์แบบ Personalize เป็นการออกแบบข้อความ และต้องใช้จำนวนชิ้นงานเยอะ เพื่อให้ตอบโจทย์กลุ่มผู้รับสารที่ต่างกันนั่นเอง จึงกลายเป็นงานใหญ่ที่ต้องลงทุนทั้งแรงและเวลาในการผลิต
  • AI + Automation Tools คือทางออกที่ช่วยให้ประหยัดเวลาและลดต้นทุนในการผลิตชิ้นงานได้ เพราะ AI จะช่วยเก็บข้อมูลพฤติกรรม ความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย วิเคราะห์ และออกแบบชิ้นงานให้เหมาะสม มีความเฉพาะเจาะจงกับผู้รับสารที่หลากหลายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะผู้บริโภคในยุคนี้ที่ถูกแตกออกเป็นหลายกลุ่ม ตามความสนใจที่ต่างกัน
  • ใช้ข้อมูลจากระบบ CRM และข้อมูลการมีส่วนร่วมของกลุ่มเป้าหมาย จาก Social Commerce เพื่อวัด ROI ชัดเจน
    เชื่อมทุกการสื่อสารกับผลลัพธ์ทางธุรกิจได้โดยตรง ช่วยให้แบรนด์ ติดตามเส้นทางลูกค้าได้ครบตั้งแต่เห็นโฆษณาไปจนถึงการซื้อจริง ทำให้การวัดผล ROI ชัดเจนขึ้น ใช้งบน้อยลง แต่ได้ Conversion มากขึ้น
  • สร้างไอเดียใหญ่ที่กระตุ้นให้คน “อยากแชร์เอง” เพื่อเพิ่ม Earned Media
    แคมเปญที่เล่นกับอินไซต์ที่ใช่ คนจะยิ่งอยากมีส่วนร่วม หรือการเล่นกับความสงสัย ท้าทายให้ลองก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่กระตุ้นให้เกิดการแชร์ได้
  • ทำงานร่วมกับ Creator หรือ Niche Community เพื่อตีตลาดลูกค้าตัวจริง
    Niche Market ถึงจะเล็ก แต่อาจเป็นขุมทรัพย์ของแฟนตัวจริง คนที่มีความชอบพร้อมจ่ายให้กับสินค้า ถ้างบน้อย การเลือกโฟกัสกลุ่มเล็กที่มีกำลังซื้อก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ

ตัวอย่างแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จจากกลยุทธ์เหล่านี้

IKEA – “Wake Up! It’s Time to Sleep” (โดย Ogilvy Taiwan)
เมื่อภาคอสังหาริมทรัพย์จีนชะลอตัว ทำให้จำนวน “ผู้ตกแต่งบ้านใหม่” ลดลง IKEA จึงต้องหาวิธีกระตุ้นความต้องการสินค้ารูปแบบใหม่ โดยใช้อินไซต์เรื่อง “ชาวจีนหลับไม่พอ” มาเป็นตัวจุดประกาย และทำให้สินค้าในหมวดห้องนอน เป็น “คำตอบของวิกฤตการนอนไม่พอของคนจีน” พร้อมนำเสนอสินค้าของ IKEA ให้เป็นเสมือน ‘Swedish-style sleep therapy’ ที่ทุกคนต้องการ ทั้ง Online Experience Content และ Offline Experience ด้วยรถแวนที่ตกแต่งด้วยสินค้า IKEA ไปตามย่านออฟฟิศต่างๆ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อ ได้มาสัมผัสประสบการณ์จริง

แคมเปญนี้ สามารถดันคะแนน ‘Brand Inspiration’ เพิ่มขึ้น +8% และยอดผู้มาเยี่ยมชมร้านเพิ่มขึ้น +10% โดยไม่ต้องใช้งบมหาศาล แถมยังช่วยให้ทีมการตลาดของ IKEA นอนหลับสบายขึ้นด้วยเช่นกัน
(แนบ VDO โอตัวอย่างเคส IKEA – Wake Up! It’s Time to Sleep)

ดังนั้น บทสรุปสำหรับกลยุทธ์นี้ คือ
“งบน้อยไม่ใช่ข้อจำกัด แต่เป็นตัวเร่งให้ไอเดียต้องเฉียบกว่าเดิม รวมไปถึงการใช้ AI Tools ในการ
โปรโมทและ Tracking Consumer Journey  เพื่อให้เราพากลุ่มเป้าหมายเข้าใกล้ conversion ให้มากที่สุด”

สุดท้ายนี้ ในปี 2026 ที่จะเต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนฉับพลัน งบที่ไม่ได้เพิ่มตามโจทย์ และแพลตฟอร์มที่แข่งขันกันสูงขึ้น กลยุทธ์การตลาดที่ “ได้ผลจริง” จะเป็นตัวแบ่งผู้เล่นที่อยู่รอดออกจากผู้เล่นที่เติบโต สองแนวทางจากเคสของ Ogilvy ASIA แสดงให้เห็นชัดว่า แบรนด์ต้องปิดการขายได้ทุก Touchpoint และมี Impact ให้มากที่สุดในงบที่จำกัด โดยอาศัยไอเดียที่เฉียบกว่าเดิม + เทคโนโลยีที่ฉลาดกว่าเดิม + ความเข้าใจมนุษย์ที่ลึกกว่าเดิม เพราะในปี 2026 ผู้ชนะจะไม่ใช่แบรนด์ที่เสียงดังที่สุด แต่เป็นแบรนด์ที่ “ชนะใจผู้บริโภคที่มีความหลากหลายมากขึ้น เข้าถึงได้แม่นที่สุด และใช้ทรัพยากรคุ้มค่าที่สุด หวังว่าทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ จะมีโอกาสได้นำกลยุทธ์เหล่านี้ไปลองปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ได้

Ogilvy

Ogilvy

Sustainability & Social Impact

แชร์
วิเคราะห์กลยุทธ์ที่จะพาแบรนด์โตในปี 2026  จาก Attention สู่ Conversion