
กระแสโครงการ “คนละครึ่งพลัส” มาแรงไม่หยุด โดยข้อมูลจากกระทรวงการคลัง วันที่ 12 พ.ย.68 เวลา 17.00 น. พบว่า เกิดยอดการใช้จ่ายในโครงการฯ ผ่าน Food Delivery Platform กว่า 542.1 ล้านบาท แบ่งเป็น เงินที่รัฐบาลร่วมจ่าย 265.7 ล้านบาท และเงินที่ประชาชนจ่าย 276.4 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน แกร็บ แอปสั่งอาหารชื่อดัง ยังได้เปิดเผยว่าตอนนี้คนผู้ใช้งานแห่อาหารเดลิเวอรีผ่านผ่านแกร็บฟู้ด ทุบ 1 ล้านออเดอร์นับตั้งแต่เริ่มโครงการฯ ดันยอดขายให้ร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการฯ เพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงปกติ โดยร้านที่ขายดีที่สุดมียอดเติบโตมากถึง 18 เท่า พบอินไซต์ผู้บริโภคนิยมใช้คนละครึ่งพลัสสั่งอาหารในมื้อเที่ยงมากที่สุด โดยมียอดสั่งเฉลี่ยต่อออเดอร์ประมาณ 80 - 120 บาท โดยเฉพาะอาหารจานเดียวอย่างส้มตำ ก๋วยเตี๋ยว และไก่ทอด ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ขณะที่ชาไทยยังคงยืนหนึ่งเครื่องดื่มยอดนิยม และคนกรุงเทพฯ ครองแชมป์การใช้คนละครึ่งพลัสผ่านแพลตฟอร์มเดลิเวอรีมากที่สุด รองลงมาคือ ชลบุรี ขอนแก่น โคราช และเชียงใหม่
นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เผยว่า “ในเฟสนี้มีร้านอาหารที่ลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมโครงการฯ กับแกร็บเพิ่มขึ้นกว่า 50% โดยเฉพาะร้านขนาดเล็กและสตรีตฟู้ด ขณะเดียวกันเราได้เห็นความคึกคักของฝั่งผู้บริโภคนับตั้งแต่วันแรก สะท้อนผ่านการใช้จ่ายบนแพลตฟอร์มที่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยมีผู้ใช้บริการสั่งอาหารผ่านโครงการคนละครึ่งพลัสกับแกร็บจนมากกว่า 1 ล้านออเดอร์ในช่วงเวลาไม่กี่วันนับตั้งแต่เริ่มโครงการฯ ไม่เพียงเท่านั้น ยังช่วยดันยอดขายให้ร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการฯ เติบโตขึ้นกว่า 3 เท่า ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สะท้อนความสำเร็จของนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาลด้วย”
โดยโครงการคนละครึ่งพลัสไม่เพียงช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในกลุ่มผู้บริโภค และสร้างยอดขายที่เพิ่มขึ้นให้กับร้านอาหาร แต่ยังส่งผลเชิงบวกไปถึงคนในอีโคซิสเต็มอย่างไรเดอร์ผู้จัดส่งอาหาร ซึ่งมีรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงเพิ่มขึ้น 13% นับตั้งแต่เริ่มโครงการฯ นอกจากนี้ กลุ่มผู้ผลิตและจัดจำหน่ายวัตถุดิบสำหรับอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องยังได้รับอานิสงส์ไปด้วย