Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
Intelฮอต! รบ.สหรัฐฯจ่อทุ่ม3.5แสนล้านถือหุ้น10% SoftBankลงอีก6หมื่นล้าน
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

Intelฮอต! รบ.สหรัฐฯจ่อทุ่ม3.5แสนล้านถือหุ้น10% SoftBankลงอีก6หมื่นล้าน

19 ส.ค. 68
17:52 น.
แชร์

อินเทล (Intel) อดีตยักษ์ใหญ่ผู้เคยครองความเป็นผู้นำอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ กำลังกลับมาเป็นจุดสนใจของโลกอีกครั้ง หลังจากช่วงหลายปีที่ผ่านมาบริษัทเผชิญความท้าทายด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและการจัดการ จนถูกคู่แข่งจากเอเชียอย่าง TSMC และซัมซุงทิ้งห่าง

ล่าสุด ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาการเข้าถือหุ้น 10% ในอินเทล ตามรายงานของ Bloomberg โดยหากข้อตกลงเกิดขึ้นจริง รัฐบาลสหรัฐฯ จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัท ถือเป็นสัญญาณชัดเจนว่า วอชิงตันต้องการใช้อินเทลเป็นเสาหลักในการฟื้นฟูความมั่นคงทางเทคโนโลยีและลดการพึ่งพาการผลิตชิปจากต่างประเทศ

นอกจากนี้ เพียงวันเดียวก่อนหน้านั้น ซอฟต์แบงก์ กรุ๊ป (SoftBank Group) ของญี่ปุ่นก็เพิ่งประกาศลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.96 แสนล้านเยน) ในอินเทล ทำให้บริษัทก้าวขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 5 การอัดเงินทุนต่อเนื่องจากทั้งรัฐบาลสหรัฐฯ และนักลงทุนรายใหญ่ระดับโลกตอกย้ำว่า อินเทลยังคงเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมชิปที่ทุกฝ่ายพร้อมจะหนุนหลัง

การสนับสนุนที่มาพร้อมกันทั้งจากภาครัฐและเอกชนเช่นนี้ ชี้ให้เห็นว่า อินเทลไม่ใช่เพียงบริษัทหนึ่งในตลาด แต่คือหัวใจของยุทธศาสตร์ด้านเซมิคอนดักเตอร์โลก สำหรับสหรัฐฯ อินเทลคือความหวังในการทวงคืนความเป็นผู้นำเทคโนโลยีจากจีนและคู่แข่งเอเชีย ส่วนสำหรับซอฟต์แบงก์ การลงทุนครั้งนี้คือการต่อยอดเครือข่ายและเงินทุนเพื่อยึดพื้นที่ในเทคโนโลยีแห่งอนาคต

รัฐบาลสหรัฐฯ อาจใช้ CHIPS Act แปลงเงินอุดหนุนเป็นทุนถือหุ้น

ตามรายงานของ Bloomberg เมื่อวันอังคาร ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาการเข้าถือหุ้น 10% ในบริษัท Intel หากข้อเสนอนี้เกิดขึ้นจริง รัฐบาลสหรัฐฯ จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายสำคัญรายนี้ทันที

แนวทางที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือการเปลี่ยนเงินสนับสนุนที่ Intel ได้รับภายใต้กฎหมาย CHIPS and Science Act ปี 2022 ให้กลายเป็นหุ้นของบริษัท ปัจจุบัน Intel ได้รับเงินสนับสนุนรวม 1.09 หมื่นล้านดอลลาร์ แบ่งเป็น 7.9 พันล้านดอลลาร์สำหรับการลงทุนภายในประเทศ และอีก 3 พันล้านดอลลาร์เพื่อการผลิตด้านความมั่นคง ขณะที่การถือหุ้น 10% ใน Intel มีมูลค่าตลาดราว 1.04 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน

ทั้งนี้ รายงานชี้ว่าขนาดการถือหุ้นยังไม่แน่นอน และยังไม่มีความชัดเจนว่าข้อเสนอนี้ได้รับแรงสนับสนุนมากน้อยเพียงใดภายในฝ่ายบริหาร บางเจ้าหน้าที่มองว่าเป็นทางเลือกเชิงกลยุทธ์ในการรักษาเสถียรภาพอุตสาหกรรม แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลว่ามีการเจรจากับ Intel โดยตรงแล้วหรือไม่ โดยทั้ง Intel และทำเนียบขาวยังคงปฏิเสธที่จะให้ความเห็นต่อสื่อ 

อย่างไรก็ตาม ข่าวลือเกี่ยวกับการเข้าถือหุ้นของรัฐบาลแพร่สะพัดตั้งแต่สัปดาห์ก่อนหน้า และสอดคล้องกับแรงกดดันในรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการฟื้นฟู Intel ให้กลับมาเป็นเสาหลักของอุตสาหกรรมชิปสหรัฐฯ ที่ครั้งหนึ่งเคยครองความเป็นผู้นำระดับโลก

ปัจจุบัน Intel เป็นผู้รับเงินสนับสนุนรายใหญ่ที่สุดจาก CHIPS Act ซึ่งเป็นมาตรการมูลค่า 3.9 หมื่นล้านดอลลาร์ที่ผ่านสภาภายใต้รัฐบาลโจ ไบเดน โดยมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมชิปสหรัฐฯ ที่ตามหลังเอเชีย เงินทุนก้อนนี้ยังถูกจัดสรรไปยังผู้เล่นรายสำคัญอย่าง TSMC, Samsung, Nvidia, Micron และ GlobalFoundries 

แม้ที่ผ่านมาประธานาธิบดีทรัมป์จะเห็นด้วยกับเป้าหมายของกฎหมาย CHIPS Act แต่ทรัมป์ก็โจมตีกฎหมายนี้อย่างเปิดเผยเช่นกันว่าเป็นการอุดหนุนบริษัทเอกชนมากเกินไป และเมื่อต้นปีถึงขั้นเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายดังกล่าว แม้พรรครีพับลิกันจะยังไม่ตอบรับข้อเรียกร้อง แต่เมื่อเดือนมิถุนายน ฮาวเวิร์ด ลัทนิค รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ยอมรับว่ารัฐบาลกำลังเจรจาปรับเงื่อนไขเงินสนับสนุนบางส่วน

หากเงินอุดหนุนถูกแปลงเป็นทุนถือหุ้น มาตรการนี้จะช่วยลดภาระด้านงบประมาณโดยตรง และยังสอดคล้องกับแนวโน้มที่รัฐบาลทรัมป์ต้องการสร้าง “บริษัทแชมป์เปี้ยนแห่งชาติ” (national champions) ในอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ อย่างไรก็ตาม Intel ยังเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้าง ทั้งการสูญเสียความได้เปรียบด้านเทคโนโลยี การไม่สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตในเอเชียในตลาดชิประดับสูง และการดิ้นรนหาลูกค้ารายใหญ่ให้กับธุรกิจการผลิต แม้บริษัทจะลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์เพื่อไล่ตามการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI) แต่ก็ยังไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้

รายงานของ Bloomberg ยังเปิดเผยด้วยว่า หลิป-บู ตัน ซีอีโอคนใหม่ของ Intel ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนมีนาคม 2025 ได้เข้าพบทรัมป์ที่ทำเนียบขาวเมื่อสัปดาห์ก่อน จากก่อนหน้านี้ที่ทรัมป์เคยโจมตีเขาอย่างรุนแรงและเรียกร้องให้ปลดนายตันออก เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับจีน แต่หลังการพบกัน ทรัมป์กลับเปลี่ยนท่าที โดยยกย่องว่าตัน “มีเรื่องราวที่น่าทึ่ง” อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดว่าการเข้าถือหุ้นของรัฐบาลถูกหยิบยกขึ้นในวงหารือหรือไม่

สำหรับความเห็นภายนอก รายงานเผยว่า ในหมู่นักวิเคราะห์ยังมีความเห็นที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนต่อมาตรการนี้ บางรายมองว่าการที่รัฐบาลเข้ามามีบทบาทโดยตรงเป็นสิ่งจำเป็น ทั้งเพื่อความมั่นคงของชาติและเพื่อช่วยพยุง Intel ที่กำลังเผชิญปัญหาหนัก แต่ในอีกด้านหนึ่ง นักวิเคราะห์ที่ไม่เห็นด้วยชี้ว่า ปัญหาของ Intel ลึกกว่าการขาดเงินทุน เพราะต้นตออยู่ที่การบริหารจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพและความล่าช้าในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้เพียงการอัดเงินทุนเพิ่มเข้าไป

นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่ารัฐบาลภายใต้การนำของทรัมป์อาจไม่เพียงใช้วิธีการลงทุน แต่ยังอาจใช้มาตรการเสริมทางนโยบายเพื่อกดดันให้บริษัทอเมริกันหันมาใช้ชิปของ Intel เช่น การขู่เก็บภาษีนำเข้าชิปจากต่างประเทศ หรือการเพิ่มกฎระเบียบด้านความมั่นคงที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้ผลิตในประเทศโดยตรง ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันใหม่ต่ออุตสาหกรรมและกระทบการแข่งขันในตลาดโลก

ด้านตลาดการเงิน ข่าวเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะเข้าถือหุ้นใน Intel ได้สร้างความผันผวนอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนตอบรับในเชิงบวกทันทีที่กระแสข่าวแพร่สะพัด ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นเกือบ 9% เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม แต่เพียงไม่กี่วันต่อมา หุ้นกลับร่วงลงกว่า 3% หลัง Bloomberg เผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของแผนดังกล่าว 

อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นก็ฟื้นตัวขึ้นกว่า 5% ในการซื้อขายนอกเวลาบนแพลตฟอร์ม Robinhood หลังจาก SoftBank ประกาศลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์ใน Intel ซึ่งตามข้อมูลจะทำให้ SoftBank ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 5 ของบริษัท เนื่องจากตลาดมองว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนว่าทั้งรัฐบาลสหรัฐฯ และนักลงทุนรายใหญ่ระดับโลกต่างมอง Intel เป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ที่มีความสำคัญต่ออนาคตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

SoftBank เสริมพอร์ตการลงทุนในชิปและกระชับสัมพันธ์กับทรัมป์

ด้าน ซอฟต์แบงก์ กรุ๊ป (SoftBank Group) บริษัทลงทุนจากญี่ปุ่น ได้ออกมาประกาศเมื่อวันจันทร์ว่าบริษัทจะลงทุนมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.96 แสนล้านเยน) ใน Intel โดยซื้อหุ้นสามัญที่ราคา 23 ดอลลาร์ต่อหุ้น ใกล้เคียงกับราคาปิดที่ 23.66 ดอลลาร์ในวันเดียวกัน การลงทุนครั้งนี้คิดเป็นราว 2% ของมูลค่าตลาดรวมราว 1 แสนล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ซอฟต์แบงก์ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 5 ของอินเทล

มาซาโยชิ ซน (Masayoshi Son) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของซอฟต์แบงก์ กล่าวถึงความสำคัญของดีลนี้ว่า “เซมิคอนดักเตอร์คือรากฐานของทุกอุตสาหกรรม การลงทุนเชิงกลยุทธ์ครั้งนี้สะท้อนความเชื่อมั่นว่าการผลิตและห่วงโซ่อุปทานชิประดับสูงจะขยายตัวในสหรัฐฯ โดยมีอินเทลเป็นผู้เล่นสำคัญ” 

ด้าน ลิป-บู ตัน (Lip-Bu Tan) ซีอีโอของอินเทล กล่าวเสริมว่า “เรายินดีอย่างยิ่งที่จะได้สานความสัมพันธ์กับซอฟต์แบงก์ ซึ่งอยู่แนวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมมากมาย มาสะกับผมรู้จักกันมาหลายสิบปี และผมซาบซึ้งในความไว้วางใจที่เขามอบให้อินเทลผ่านการลงทุนครั้งนี้” ทั้งนี้ ตันเคยดำรงตำแหน่งกรรมการของซอฟต์แบงก์ กรุ๊ประหว่างปี 2020-2022 ซึ่งยิ่งเน้นย้ำถึงความใกล้ชิดระหว่างทั้งสองฝ่าย

นักวิเคราะห์บางรายมองว่าดีลนี้เป็นการสร้างเครือข่ายเชิงกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งให้กับอินเทล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่บริษัทกำลังเผชิญการแข่งขันจากผู้ผลิตชิปรายใหญ่อย่าง TSMC และ Samsung ในแง่เทคโนโลยีการผลิตระดับก้าวหน้า (advanced nodes) อินเทลเองยังอยู่ระหว่างพยายามฟื้นความสามารถในการผลิตชิปขนาด 7 นาโนเมตรและ 5 นาโนเมตร เพื่อไม่ให้ตามหลังคู่แข่งไปมากกว่านี้ การมีทั้งรัฐบาลสหรัฐฯ และ SoftBank หนุนหลัง จึงถูกมองว่าเป็นแรงหนุนสำคัญที่ช่วยเสริมทั้งด้านเงินทุนและความเชื่อมั่น

อีกหนึ่งซินเนอร์ยีที่ถูกจับตามองคือความร่วมมือระหว่างอินเทลกับ Arm บริษัทผู้ออกแบบชิปในเครือซอฟต์แบงก์ ปัจจุบัน Arm สร้างรายได้จากการออกแบบและให้สิทธิ์ใช้งานสถาปัตยกรรมแก่ผู้ผลิตรายอื่น แต่มีรายงานว่าบริษัทกำลังพิจารณาพัฒนาชิปภายใต้แบรนด์ของตนเอง หาก Arm ตัดสินใจก้าวเข้าสู่ธุรกิจการผลิตจริง อินเทลซึ่งมีธุรกิจรับจ้างผลิต (foundry) ก็อาจกลายเป็นพันธมิตรหลักในการผลิตได้ ความเป็นไปได้นี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของสหรัฐฯ ที่ต้องการสร้างห่วงโซ่อุปทานชิปที่แข็งแกร่งและพึ่งพิงภายในประเทศ

การลงทุนครั้งนี้ยังต่อยอดยุทธศาสตร์ที่กว้างขึ้นของซน โดยเมื่อต้นปีเขาเพิ่งประกาศโครงการ Stargate มูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ และล่าสุดยังมีบทบาทร่วมมือกับรัฐบาลทรัมป์ในด้านการผลักดันการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศ อีกทั้งซอฟต์แบงก์ยังรุกคืบด้วยการเข้าซื้อกิจการ Graphcore บริษัทชิป AI ของอังกฤษในเดือนกรกฎาคม 2024 และ Ampere Computing บริษัทออกแบบชิปของสหรัฐฯ ในเดือนมีนาคม 2025 ขณะเดียวกันยังเพิ่มการถือหุ้น Nvidia ขึ้นถึง 2.9 เท่า คิดเป็นมูลค่าราว 4.8 พันล้านดอลลาร์ตั้งแต่สิ้นปี 2024 ซึ่งสะท้อนถึงยุทธศาสตร์การปักธงในสมรภูมิ AI และเซมิคอนดักเตอร์อย่างจริงจัง

ดังนั้น ดีลระหว่างซอฟต์แบงก์กับอินเทลจึงไม่เพียงเป็นการลงทุนทางการเงิน แต่ยังเป็นการเชื่อมเครือข่ายเชิงกลยุทธ์ระดับโลก ที่มีทั้งซนและทรัมป์เป็นตัวละครหลัก โดยเปิดทางให้อินเทลมีโอกาสฟื้นตัวและกลับมาท้าทายคู่แข่งในสมรภูมิชิปขั้นสูง ขณะเดียวกันก็เสริมให้ซอฟต์แบงก์ยึดบทบาทศูนย์กลางในห่วงโซ่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่กำลังนิยามอนาคตเศรษฐกิจโลก


แชร์
Intelฮอต! รบ.สหรัฐฯจ่อทุ่ม3.5แสนล้านถือหุ้น10% SoftBankลงอีก6หมื่นล้าน