เป็นที่รู้กันเมื่อยามเกิดวิกฤต ทั้งโรคระบาด ภัยสงคราม หรือภาวะเศรษฐกิจไม่สู้ดี บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และ ปลากระป๋อง ถือเป็นสินค้าขายดีที่ทุกบ้านต้องมีติดตู้
แต่นอกเหนือจากที่จะเป็นเพื่อนยากให้ใครหลายๆคนได้อิ่มท้องแล้วนั่น อาหารอย่าง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือ ปลากระป๋องก็เป็นเหมือนอีกหนึ่งดัชนีชี้วัดสภาวะเศรษฐกิจและสังคมของประเทศนั้นๆอีกด้วย
บทความนี้ ทีม SPOTLIGHT ได้มีโอกาสพูดคุยกับ 2 ทายาทของแบรนด์ปลาประป๋องของคนไทย ‘ปุ้มปุ้ย’ แบรนด์ปลากระป๋องที่ไม่ได้มีดีแค่ปลากระป๋อง พร้อมเปิดแผนบุกตลาดโลก ยอมรับตลาด ‘จีน’ เจาะยาก ปีนี้ขอบุก ‘ตะวันออกกลาง’
หลายๆคนอาจจะรู้จักปุ้มปุ้ยในฐานะแบรนด์ปลากระป๋องชื่อดังของไทย ที่มีอายุมานานกว่า 46 ปี แต่รู้หรือไม่ ปุ้มปุ้ยมีสินค้ามากกว่า 50 รายการ แม้จะเริ่มต้นจากปลากระป๋องปรุงรส แต่ทุกวันนี้กลับมีสินค้าที่ครอบคลุมทั้งกลุ่มปลากระป๋อง, กลุ่มซอสปรุงรส, กลุ่มอาหารพร้อมทาน, กลุ่มน้ำแกงปรุงรสสำเร็จ หรือแม้แต่ขนมทานเล่น
คุณปวิตา โตทับเที่ยง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร (CSO) บริษัทผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล จำกัด(มหาชน) หรือปุ้มปุ้ย ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาได้มีการออกสินค้าใหม่ๆเพิ่มขึ้นหลังจากการศึกษาตลาดและการฟังเสียงผู้บริโภค อย่างเช่นตอนนี้ ผู้บริโภคหันมาสนใจในเรื่องของสุขภาพมากขึ้น ทำให้ปุ้มปุ้ยได้ออกสินค้าที่ตอบโจทย์เทรนด์รักสุขภาพ อย่าง ปลาราดพริกน้ำตาลน้อย ลดโซเดียม ลดน้ำตาล เพื่อขยายตลาดให้ปุ้มปุ้ยตอบรับกับผู้บริโภคในกลุ่มกลุ่ม และทุกความชื่นชอบ
โดยในปีนี้จะมีการออกสินค้าใหม่ถึง 7 รายการด้วยกัน ได้แก่ 1. ปลาซาบะเทริยากิ 2. ปลาซาร์ดีนทอดในซอสซัมบัล 3. ปลาทอดลุยสวนสมุนไพร 4. ฉู่ฉี่ปลาแมคเคอเรล 5. ไตปลาแห้ง 6. แจ่วบอง 7. หอยแครงปรุงรส โดยมุ่งตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่มองหา “อาหารไทยรสเข้มข้น ในรูปแบบที่สะดวก พร้อมทาน” แต่ยังคงจุดเด่นรสชาติที่จัดจ้านของปุ้มปุ้ย
คุณกุลเกตุ โตทับเที่ยง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานปฏิบัติการ (COO) บริษัทผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล จำกัด(มหาชน) หรือปุ้มปุ้ย ได้ให้สัมภาษณ์กับ SPOTLIGHT ว่า “ปลากระป๋อง ถือเป็นอาหารที่สวนทางกระแสเศรษฐกิจ เช่น เมื่อเกิดอุทกภัย หรืออะไรที่เป็นวิกฤต ปลากระป๋องจะเป็นสินค้าที่เติบโตได้ดี ทำให้ในช่วงโควิด เราไม่ค่อยได้รับผลกระทบ เนื่องจากผู้บริโภคไม่สามารถทานอาหารนอกบ้านได้ ก็มีความจำเป็นที่จะต้องกักตุนอาหารไว้”
และได้ยังเปิดใจ เล่าให้ฟังอีกว่า แม้ในช่วงโควิดยอดขายของปุ้มปุ้ยถือว่าเป็นขาขึ้น กราฟพุ่งสวนทางกับสภาวะเศรษฐกิจ แต่ตอนนั่นก็เผชิญปัญหาในเรื่องการขนส่ง
สำหรับตลาดต่างประเทศ คุณกุลเกตุได้เปิดเผยว่า ตอนนี้ปุ้มปุ้ยส่งออกถึง 20 ประเทศด้วยกัน และบางประเทศเผชิญกับการขนส่งที่ปัญหา ในช่วงวิกฤตสงครามในประเทศ แต่มองว่านี่คือ ‘โอกาส’ เพราะผลิตภัณฑ์ของปุ้มปุ้ยสามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน ตอบโจทย์กับกลุ่มลูกค้า แต่การส่งออกตัวสินค้าจะเน้นไปที่สินค้า original ขอปุ้มปุ้ย อย่างเช่นปลากระป๋อง หอยลาย
ส่วนในเรื่องของกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกา คุณกุลเกตุได้มองว่า ตอนนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบมากเท่าไร แต่ยอมรับว่าได้รับผลกระทบทางอ้อม เนื่องจากตอนนี้ประเทศอื่นๆที่ได้รับผลกระทบจากการตั้งภาษีของสหรัฐอเมริกา มีความตื่นตัวสูง เพราะฉะนั้นกฎระเบียบและข้อบังคับต่างๆก็ได้ถูกปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ทางปุ้มปุ้ยยังคงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าสุดท้ายแต่ละประเทศจะมีข้อบังคับแบบไหน
คุณกุลเกตุ ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า สำหรับตลาดเอเชีย ประเทศจีนถือได้ว่าเป็นหนึ่งในตลาดที่ค่อนข้างมีความท้าทาย เนื่องจากเทรนด์เปลี่ยนเร็ว กฎระเบียบก็เปลี่ยนไวตาม แม้ว่าปัจจุบันคนจีนจะชื่นชอบอาหาร และรสชาติของอาหารไทย โดยมองว่าสินค้าไทย = การันตีคุณภาพ แต่ก็ต้องตอบรับว่าเรื่องรสชาติค่อนข้างตอบยาก ว่าจะทำอย่างไรให้ตรงใจกับผู้บริโภคชาวจีน เนื่องจากจีนเป็นเป็นประเทศใหญ่ ความต้องการและความชื่นชอบของผู้บริโภคในแต่ละภูมิภาคก็ไม่เหมือนกัน และรสชาติเผ็ดของคนไทย และชาวจีนก็มีรสชาติที่แตกต่างกัน
ส่วนอีกหนึ่งตลาดที่น่าสนใจ สำหรับปุ้มปุ้ย คือ ตลาดตะวันออกกลาง คุณกุลเกตุ ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า “ตอนนี้ตะวันออกกลาง เป็นประเทศที่เพิ่งจะเปิดขึ้นมา มีเงิน มีกำลังซื้อสูง ผู้บริโภคชาวตะวันออกกลางก็เดินทางไปท่องเที่ยวไทยเยอะมากขึ้นทำให้เขารู้จักสินค้าไทย อาหารไทยมากขึ้น เลยมองว่านี่คือโอกาสสำหรับปุ้มปุ้ย”
“ปลากระป๋อง” ไม่ใช่แค่สินค้าบรรเทาวิกฤต แต่กำลังกลายเป็นสัญลักษณ์ของการปรับตัวและการเติบโตในยุคใหม่ เช่นเดียวกับแบรนด์ปุ้มปุ้ยที่ไม่หยุดอยู่แค่ความสำเร็จในบ้าน แต่กล้าคิด กล้าลุยตลาดโลก ด้วยวิสัยทัศน์ที่จะสร้างอาหารไทยในรูปแบบที่เข้าถึงง่าย สะดวก และยังคงเอกลักษณ์รสชาติแบบไทยแท้—ปุ้มปุ้ยจึงไม่เพียงส่งต่ออาหารที่อร่อยและอิ่มท้อง แต่ยังส่งต่อคุณค่า ความภูมิใจ และศักยภาพของธุรกิจไทยสู่สายตาโลกอีกด้วย