
การประท้วงของชาวอิหร่านเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่สาม ซึ่งมีสาเหตุมาจากภาวะเงินเฟ้อรุนแรงและค่าเงินเรียลอิหร่านร่วงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เสี่ยงเศรษฐกิจล่มสลาย การชุมนุมเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคมที่ผ่านมา จากกลุ่มเจ้าของร้านค้าในตลาดแกรนด์บาซาร์ ในกรุงเตหะราน ได้รวมตัวกันปิดร้าน-หยุดงานประท้วง แสดงความไม่พอใจต่อการทำงานของรัฐบาล
นักเรียนนักศึกษาเดินขบวนร่วมกับพ่อค้าแม่ค้าและคนงาน เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการแก้ไขปัญหาค่าเงินที่ตกต่ำอย่างรวดเร็วและราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้น การประท้วงแพร่กระจายไปทั่วกรุงเตหะรานและขยายตัวไปยังเมืองสำคัญต่าง ๆ ได้แก่ คาราจ ฮาเมดาน เกชม์ มาลาร์ด อิสฟาฮาน เคอร์มานชาห์ ชีราซ และยาซด์ เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาเพื่อพยายามสลายกลุ่มผู้ชุมนุม และการประท้วงมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
ด้านรัฐบาลอิหร่านระบุว่า รับทราบถึงการประท้วงที่เกิดขึ้น และจะรับฟังด้วยความอดทน แม้ว่าจะต้องเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่รุนแรงก็ตาม
ประธานาธิบดี มาซูด เปเซชเคียน ได้เขียนข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X เมื่อคืนวันจันทร์ว่า เขาได้สั่งการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเปิดการเจรจากับผู้ที่เขาเรียกว่า "ตัวแทน" ของกลุ่มผู้ประท้วง เพื่อหามาตรการแก้ไขปัญหาและดำเนินการอย่างรับผิดชอบ
นอกจากนี้ เขายังได้อนุมัติการลาออกของนายโมฮัมหมัดเรซา ฟาร์ซิน ผู้ว่าการธนาคารกลางอิหร่าน และแต่งตั้งนายอับดอลนัสเซอร์ เฮมมาตี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและการเงิน ให้ดำรงตำแหน่งแทน
ความไม่สงบกำลังเกิดขึ้นในขณะที่อิหร่านกำลังเผชิญกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่รุนแรงขึ้น ค่าเงินเรียลอ่อนค่าลงเหลือ 1,400,000 ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งร่วงลงมาจาก 817,500 เรียล เมื่อต้นปี 2025 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังคงสูงกว่า 36.4%
หลายฝ่ายเชื่อว่า เกิดจากปัจจัยลบหลายอย่างที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกัน โดยเฉพาะเหตุการณ์สำคัญเมื่อเดือนมิถุนายน 2025 ที่ผ่านมา ถือเป็นจุดพลิกผันสำคัญที่ทำลายเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่เปราะบางอยู่แล้วของอิหร่านให้พังทลายลง การเกิด “สงคราม 12 วันกับอิสราเอล” แม้สงครามจะจบลงสั้น ๆ แต่ความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานส่งผลร้ายแรงในระยะยาว
การโจมตีโรงไฟฟ้าทำให้เกิดไฟดับทั่วประเทศ ภาคอุตสาหกรรมและการผลิตหยุดชะงัก เมื่อผลิตสินค้าไม่ได้ ราคาสินค้าในประเทศจึงพุ่งสูงขึ้นทันที การที่สหรัฐฯ และอิสราเอลถล่มโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมและนิคมอุตสาหกรรมบางส่วน ทำให้ความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมหลักของประเทศหายไป นักลงทุนต่างชาติที่เหลืออยู่น้อยมากพากันถอนตัว
เมื่อสงครามปะทุ ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก เพราะไม่รู้ว่าสงครามจะบานปลายหรือไม่ ทุกคนจึงเทขายเงินเรียลที่นับวันจะไร้ค่า แล้วไปกว้านซื้อดอลลาร์หรือทองคำเพื่อเก็บรักษาความมั่งคั่ง เมื่อความต้องการดอลลาร์สูงขึ้นอย่างมหาศาล แต่รัฐบาลไม่มีเงินตราต่างประเทศให้แลก ราคาดอลลาร์ในตลาดมืดจึงดีดตัวสูงขึ้นทุบสถิติ ส่งผลให้เงินเรียลอ่อนค่าลงโดยปริยาย
หลังจบสงคราม 12 วัน สหรัฐฯ และพันธมิตรได้ยกระดับการคว่ำบาตรเพื่อตอบโต้การที่อิหร่านโจมตีตอบโต้อิสราเอล สหรัฐฯ กลับมาใช้มาตรการกดดันสูงสุดอีกครั้ง รวมถึงการคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันและตัดอิหร่านออกจากระบบการเงินโลก เมื่อขายน้ำมันไม่ได้ หรือต้องขายในราคาถูกผ่านตลาดมืด รัฐบาลก็ไม่มีเงินตราต่างประเทศเพียงพอที่จะนำมาพยุงค่าเงินของตัวเอง
รัฐบาลอิหร่านต้องใช้เงินจำนวนมากในการซ่อมแซมอาวุธ จ่ายเบี้ยเลี้ยงกองทัพ และซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน ในขณะที่รายได้จากการขายน้ำมันลดลงเนื่องจากถูกคว่ำบาตรเพิ่ม รัฐบาลมีภาวะขาดดุลงบประมาณอย่างหนัก จึงเลือกวิธี "พิมพ์เงิน" เพิ่มขึ้นเพื่อจ่ายหนี้และเงินเดือนข้าราชการ ซึ่งเป็นการเร่งให้เกิดเงินเฟ้อรุนแรง
หลังเกิดการประท้วงในอิหร่าน กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้แสดงการสนับสนุนการประท้วงเช่นกัน โดยระบุว่า สหรัฐฯ ยกย่องในความกล้าหาญและยืนหยัดเคียงข้างผู้ที่แสวงหาศักดิ์ศรีและอนาคตที่ดีกว่า หลังจากต้องเผชิญกับนโยบายที่ล้มเหลวและการบริหารจัดการเศรษฐกิจที่ผิดพลาดมานานหลายปี
ในระหว่างการแถลงข่าวร่วมกันระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู แห่งอิสราเอล หลังการประชุมที่ฟลอริดา เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทรัมป์ปฏิเสธที่จะระบุว่าเขาสนับสนุนการเปลี่ยนระบอบการปกครองในอิหร่านหรือไม่ แต่เขากล่าวว่า "อิหร่านมีปัญหามากมาย ทั้งเงินเฟ้อที่รุนแรง เศรษฐกิจล้มละลาย และเขารู้ว่าชาวอิหร่านไม่มีความสุขนัก"
ประธานาธิบดีทรัมป์ยังระบุด้วยว่า เขาอาจสนับสนุนการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลต่ออิหร่านอีกครั้ง หากอิหร่านดำเนินการฟื้นฟูโครงการขีปนาวุธหรือโครงการนิวเคลียร์ขึ้นมาใหม่