
กองทัพภาคที่ 2 รายงานภารกิจนำผู้สื่อข่าวอาวุโสประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ BBC News คุณโจนาธาน เฮด (Jonathan Head) ลงพื้นที่สำรวจ ศูนย์อพยพจังหวัดสุรินทร์ โรงพยาบาลพนมดงรัก และบ้านเรือนของประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากกระสุน BM-21 เมื่อวานนี้ (10 ธันวาคม 2568) โดยมีพันเอก สมเด็จ พวงผกา หัวหน้าสำนักงานประสานงานชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 พร้อมด้วย พันเอก วินัย บุญวิจิตร หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพภาคที่ 2 เป็นผู้อำนวยความสะดวก
สื่อมวลชนหลายสำนักมองว่า ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลและกองทัพในครั้งนี้นับว่าเดินเกมเร็ว แต่ผลลัพธ์ของการลงพื้นที่นั้น ขึ้นอยู่กับว่ามุมมองของนักข่าวต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
Spotlight ชวนทำความรู้จักนักข่าวอาวุโสที่คลุกคลีอยู่กับหลายประเด็นใหญ่ในอาเซียนมาหลายปี รวมถึงเปิดมุมมองจากงานเขียนชิ้นแรกของเขา หลังจากที่ลงพื้นที่ชายแดนว่าเป็นอย่างไรบ้าง
โจนาธาน เฮด เป็นผู้สื่อข่าวต่างประเทศอาวุโสของ BBC News ซึ่งบทบาทที่สำคัญและยาวนานที่สุดของเขาคือ การเป็นผู้สื่อข่าวประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ BBC ในกรุงเทพฯ โดยเขาประจำการอยู่ในตำแหน่งนี้รวมเป็นเวลา 18 ปี ซึ่งประจำการเป็นช่วง ๆ ตั้งแต่ปี 2000-2003, 2006-2009, และ 2012 จนถึงปัจจุบัน
เขาได้รายงานข่าวสำคัญของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยครอบคลุมประเด็นการเมืองที่อ่อนไหว การรัฐประหาร ความไม่สงบทางการเมือง รวมถึงเหตุการณ์สำคัญอื่น ๆ ขณะเดียวกัน การทำงานในฐานะผู้สื่อข่าวประเด็นอ่อนไหว ทำให้หลายครั้งเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย รวมถึงถูกฟ้องร้องในคดีหมิ่นประมาท เช่น การรายงานข่าวของ BBC เกี่ยวกับการที่ชาวต่างชาติถูกฉ้อโกงบ้านพักตากอากาศ/บ้านเกษียณอายุ โดยทนายความชาวไทยคนหนึ่งในภูเก็ตเป็นผู้ยื่นฟ้อง
ล่าสุด คุณโจนาธาน เฮด ได้เขียนบทความถึงเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชารอบใหม่ ภายใต้หัวข้อข่าว “เหตุใดไทยและกัมพูชาจึงกลับมาสู้รบกันอีกครั้งหลังจากการหยุดยิงที่ทรัมป์เป็นคนกลางไกล่เกลี่ย” โดยเริ่มต้นบรรยายสถานการณ์ว่า “เสียงปืนใหญ่ จรวด และการโจมตีทางอากาศกลับมาดังกระหึ่มอีกครั้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ชาวบ้านในหมู่บ้านหลายแห่งในแนวรบที่ทอดยาวหลายร้อยกิโลเมตรถูกสั่งอพยพเป็นครั้งที่สองในรอบ 5 เดือน ครอบครัวต่าง ๆ จำต้องอยู่ในที่พักพิงชั่วคราวอย่างสิ้นหวัง และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับบ้าน”
บทความนี้ตั้งคำถามสำคัญคือ เหตุใดการต่อสู้จึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เป็นคนกลางไกล่เกลี่ยให้เกิดข้อตกลงหยุดยิงเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เขามองว่าต้นเหตุเกิดจาก “ชนวนเหตุเล็ก ๆ” โดยการปะทะครั้งล่า สุดจุดชนวนจากเหตุการณ์ เมื่อวิศวกรของไทยกำลังทำงานสร้างถนนเพื่อเข้าถึงในพื้นที่ชายแดนพิพาท ซึ่งรายงานของกองทัพไทยระบุว่า ทีมงานถูกทหารกัมพูชายิงเข้าใส่ ส่งผลให้ทหารไทยบาดเจ็บ 2 นาย แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บสาหัส
ในอดีต เหตุการณ์เช่นนี้อาจถูกคลี่คลายด้วยการเจรจาทางการทูตอย่างรวดเร็ว แต่ในปีนี้แทบไม่มีความพยายามดังกล่าว เพราะขณะนี้ ทั้งสองประเทศต่างไม่ไว้วางใจกันและกัน ซึ่งเป็นรอยร้าวที่ลึกเกินว่าดีลของผู้นำประเทศมหาอำนาจอย่างทรัมป์จะซ่อมแซมแก้ไขมันได้
นอกจากนี้ คุณโจนาธานยังวิพากษ์วิจารณ์ข้อตกลงหยุดยิงที่ค่อนข้างมีความเปราะบางและไร้เสถียรภาพ แม้ทรัมป์จะอ้างว่าสามารถสร้างข้อตกลงสันติภาพครั้งประวัติศาสตร์ได้ แต่การหยุดยิงที่เขาบังคับใช้ในเดือนกรกฎาคมนั้นมีความเปราะบางมาตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายไทยมีความไม่สบายใจอย่างมากกับการนำความขัดแย้งชายแดนเข้าสู่เวทีนานาชาติ และยอมตกลงหยุดยิงก็เพราะทรัมป์ "เอาปืนภาษีจ่อหัว" เนื่องจากในช่วงเวลานั้น ทั้งไทยและกัมพูชาอยู่ห่างจากเส้นตายเพียงไม่กี่วันในการเจรจาเพื่อลดอัตราภาษีที่สำคัญสำหรับการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ
ในทางตรงกันข้าม กัมพูชายินดีที่จะรับการแทรกแซงจากภายนอก เนื่องจากเป็นประเทศที่เล็กกว่าและรู้สึกว่าเสียเปรียบในการเจรจาทวิภาคีกับไทย
อย่างไรก็ตาม ทหารกัมพูชาตามแนวชายแดนยังคงมีการเผชิญหน้ากับกองทัพไทยอย่างต่อเนื่อง และการกระทำที่รับประกันว่าจะสร้างความโกรธแค้นให้กับสาธารณชนชาวไทยคือ การวางทุ่นระเบิดใหม่ ซึ่งจนถึงขณะนี้ทำให้ทหารไทยต้องสูญเสียอวัยวะไปแล้ว 7 นาย ไทยได้นำเสนอหลักฐานที่น่าเชื่อถือในเรื่องนี้ กล่าวหากัมพูชาว่าไม่จริงใจ และปฏิเสธที่จะปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18 นาย ที่ถูกจับกุมเมื่อเดือนกรกฎาคม
นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม การควบคุมใด ๆ ที่มีต่อกองทัพไทยได้หมดสิ้นลง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันซึ่งเป็นผู้นำรัฐบาลผสมเสียงข้างน้อยและเผชิญกับความท้าทายอื่น ๆ ได้ ให้อำนาจเต็มแก่กองทัพในการจัดการความขัดแย้งชายแดนตามที่เห็นสมควร
กองทัพไทยกล่าวว่า เป้าหมายของพวกเขาคือ การสร้างความเสียหายที่เพียงพอต่อกองทัพกัมพูชา เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่สามารถคุกคามชุมชนชายแดนได้อีกต่อไป นอกจากนี้ยังต้องการเข้าควบคุมจุดสูงสุดบนเนินเขาหลายแห่ง ซึ่งจะทำให้ทหารไทยได้เปรียบมากขึ้นในการต่อสู้กับกองกำลังกัมพูชาในอนาคต
ความขัดแย้งนี้ แม้จะเกี่ยวกับพื้นที่เล็กน้อยและพื้นที่เหล่านั้นแทบไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ แต่กองทัพไทยมองว่า บทบาทในการปกป้องอธิปไตยของชาติเป็นภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่แรงจูงใจของผู้นำกัมพูชาตีความได้ยากกว่า
อดีตนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ยังคงเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ผู้เป็นบุตรชาย แม้ว่าเขาจะเรียกร้องให้ทหารของตนยับยั้งชั่งใจในที่สาธารณะ โดยแสดงภาพกัมพูชาว่าถูกเพื่อนบ้านที่ทรงอำนาจกว่ารังแกและต้องการการสนับสนุนจากนานาชาติ
ทว่า การแทรกแซงของเขาในความขัดแย้งชายแดนที่คุกรุ่นนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดสินใจปล่อยการสนทนาทางโทรศัพท์ที่เป็นความลับกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทยในขณะนั้น ซึ่งบิดาคือ นายทักษิณ ชินวัตร เป็นเพื่อนเก่าและหุ้นส่วนทางธุรกิจกับฮุน เซน
ความคิดเห็นที่รั่วไหลออกมาของ น.ส.แพทองธาร ที่ยกย่องฮุน เซน และประณามผู้บัญชาการกองทัพของตนว่า "บ้าดีเดือด" ได้ส่งผลร้ายแรงต่อเธอและบิดา รัฐบาลของเธอต้องล่มสลาย และนายทักษิณต้องติดคุก และที่สำคัญคือ คนไทยจำนวนมาก แม้แต่ผู้ที่ต่อต้านตระกูลชินวัตรอย่างรุนแรง ก็รู้สึกไม่พอใจกับการรับรู้ว่ากัมพูชาเข้ามาแทรกแซงการเมืองไทย
คุณโจนาธานจึงมองว่า ปัจจุบันความคิดเห็นของสาธารณชนไทยหันมาสนับสนุนแนวทางที่แข็งกร้าวของกองทัพต่อกัมพูชามากขึ้น จากการเมืองภายในที่เปราะบาง
เขาได้ตั้งคำถามทิ้งท้ายบทความนี้ว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะสามารถเจรจาให้ทั้งสองฝ่ายปรองดองกันได้อีกครั้งเหมือนในเดือนกรกฎาคม? เขาตั้งข้อสังเกตว่า แม้ทรัมป์จะทำได้จริงอีกอีกครั้ง ก็จะมีผลให้เกิดความสงบแค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะสันติภาพที่แท้จริงยังไม่เกิดขึ้น เมื่อฝั่งของรัฐบาลไทยได้กล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่ายังไม่พร้อมสำหรับการเจรจาทางการทูต โดยระบุว่า กัมพูชาจะต้องแสดงความจริงใจก่อนจึงจะพร้อมพยายามทำข้อตกลงหยุดยิงอีกครั้ง