
สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาในช่วงวันที่ 7–9 ธันวาคม 2568 ปะทุขึ้นอย่างรวดเร็วจากจุดปะทะ ในศรีสะเกษ ก่อนลุกลามตลอดแนวอีสานใต้ ไล่จากสุรินทร์ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี ไปจนแตะชายฝั่งจังหวัดตราด กลายเป็นสามวันที่ชายแดนเต็มไปด้วยเสียงปืนเล็ก ปืนใหญ่ จรวดหลายลำกล้อง และโดรนติดอาวุธ ที่ดังขึ้นไม่ขาดช่วง
กองทัพภาคที่ 2 เร่งยกระดับสู่ปฏิบัติการเต็มรูปแบบ ทั้งควบคุมสถานการณ์และอพยพประชาชนออกจากแนวเสี่ยง ขณะที่ “จุดกระสุนตก” แต่ละแห่งทำหน้าที่เป็นสัญญาณเตือนชัดเจนว่า ความรุนแรงกำลังขยับเข้าใกล้หมู่บ้านและชุมชนมากขึ้นเรื่อยๆ
ในส่วนถัดไปจะเรียงเหตุการณ์ตามลำดับว่าอะไรเกิดขึ้นก่อน–หลัง กระสุนเริ่มตกที่ไหน ลุกลามไปอย่างไร และเหตุใดการปะทะครั้งนี้จึงส่งผลสั่นสะเทือนกว้างไกลทั่วทั้งภาคอีสานและฝั่งตะวันออกของไทย
วันที่ 7 ธันวาคม 2568 — ต้นทางของกระสุนข้ามแดน
การปะทะแรกในช่วง 14.15 น. ที่ภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อน จ.ศรีสะเกษ เป็นเพียงการยิงตอบโต้ระดับแนวหน้า แต่สิ่งที่สร้างความกังวลคือหลังเวลา 22.00 น. เป็นต้นไป เมื่อกัมพูชาขยายการยิงไปยังช่องคะนาและช่องระยี
คืนเดียวกันนี้มีการตรวจพบ จรวดหลายลำกล้อง RM-70 เคลื่อนเข้าประชิดชายแดนฝั่งอุดรมีชัย เป็นสัญญาณชัดว่า “จุดกระสุนตก” จะไม่หยุดอยู่เพียงศรีสะเกษ
และเที่ยงคืนเข้าสู่วันที่ 8 ธันวาคม กองทัพภาคที่ 2 พบการเคลื่อนย้าย RM-70 เข้าพื้นที่ฝั่งตรงข้ามช่องบก–ช่องอานม้าอย่างชัดเจน จากไทม์ไลน์นี้ชี้ให้เห็นแล้วว่า จุดกระสุนตกจะย้ายไปอุบลราชธานีและบุรีรัมย์ในไม่กี่ชั่วโมงถัดมา
วันที่ 8 ธันวาคม 2568 — จุดกระสุนตกขยายตัวครั้งใหญ่
รุ่งเช้าตั้งแต่เวลา 05.00–06.23 น. การระดมยิงในพื้นที่ช่องอานม้ากลายเป็น “จุดกระสุนตกแห่งแรกของวัน” โดยเฉพาะปืนครกจากฝั่งกัมพูชาที่ตกกระจายหลายจุดในแนวปฏิบัติการไทย ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ กระสุนปืนใหญ่–ปืนครกเริ่มตกในเขตบ้านเรือน เช่น บ่อดินหลังตลาดไท , ฐาน ตชด.793 , ช่องอานม้าและเนินใกล้เคียง
เวลา 07.00 น. การปะทะหนักที่ช่องบกทำให้เกิด “จุดกระสุนตกขั้นวิกฤต” มีกระสุนอาวุธหนักตกในเขตไทยจนทำให้ทหารไทยเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 4 นาย และเวลา 08.30 น. จรวด BM-21 ของกัมพูชา ตกใส่บ้านสายโท 10 อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ โดยจุดนี้คือ “หลักฐานสำคัญแรก” ว่ากัมพูชาขยายการยิงเข้าสู่ชุมชนพลเรือนโดยตรง
สำหรับ วันที่ 8 ธ.ค. จุดกระสุนตกหลัก ได้แก่ ช่องอานม้า , ช่องบก , บ้านสายโท 10 , บ่อดิน–หลังตลาดไท , ฐาน ตชด.793 , เนิน 677 และพื้นที่โดยรอบ
วันที่ 9 ธันวาคม 2568 —BM-21 ระลอกใหญ่ และโดรนพลีชีพขึ้นสู่แนวหน้า
ก่อนรุ่งสาง เวลา 04.50 น. เป็นต้นไป จุดกระสุนตกเพิ่มขึ้นแบบ “พรวดเดียว 4 จุด” ได้แก่ ซำแต , ภูผี , ช่องตาเฒ่า , ปราสาทตาควาย และเป็นครั้งแรกที่มีการระดมยิง BM-21 หลายชุดและใช้โดรนทิ้งระเบิดควบคู่กัน ทำให้จุดกระสุนตกมีทั้งจากอาวุธวิถีโค้งและอาวุธโจมตีพุ่งชน (FPV UAV)
ต่อมาเวลา 05.40 น. ฝั่งจังหวัดตราดพบว่ากัมพูชาตั้งฐานทหารในเขตไทยบริเวณบ้านหนองรี สถานการณ์นี้ทำให้พื้นที่ฝั่งตะวันออกถูกจับตาเป็นพิเศษ แม้ยังไม่เกิดกระสุนตกหนักเท่าอีสานใต้ กระทั่งเวลา 09.30 น. ช่องอานม้า–ช่องบก ถูกโจมตีด้วย โดรนพลีชีพและโดรนทิ้งระเบิด เป็นชุดใหญ่ จุดกระสุนตกเพิ่มเข้ามาอีกหลายตำบล เช่น พญาสัตบรรณ , เนิน 561 , ปราสาทคนา , ปราสาทตาเมือน , ภูมะเขือ
พิกัดตำบลกระสุนตก ตลอด 7–9 ธันวาคม 2568
ตำบลที่พบ BM-21
• ปราสาทตาควาย
• ปราสาทตาเมือน
• ช่องปลดต่าง
• พระวิหาร
• ช่องระยี
• ภูมะเขือ
ตำบลที่พบ กระสุนปืนใหญ่
• พระวิหาร
• ภูมะเขือ
• เนิน 600
• บ้านภูมิซรอล ม.12
• ช่องอานม้า
• ช่องบก
• ปราสาทตาควาย
• พลาญยาว
ตำบลที่พบ โดรนพลีชีพ
• พญาสัตบรรณ
• ช่องอานม้า
• เนิน 561
ภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ยุทธวิธี FPV UAV ของ กพช. และข้อแนะนำการปฏิบัติ
การปะทะระลอกใหม่ตามแนวชายแดนเผยให้เห็นชัดเจนว่าข้าศึกพัฒนา “ยุทธวิธีโดรนโจมตี” หรือ FPV UAV ไปอีกขั้น ไม่ใช่แค่โจมตีเป้าหมายโดยตรง แต่ยังใช้เทคนิคชี้เป้าหมาย หลอกล่อ วางกับดัก
ทำให้กำลังฝ่ายเราตกอยู่ในช่องโหว่ได้ง่ายขึ้น หากไม่ระมัดระวังและไม่มีระเบียบปฏิบัติรองรับ ความสูญเสียอาจเกิดขึ้นซ้ำซ้อนในเวลาไม่กี่นาที
1.พฤติกรรมการณ์ของข้าศึก
• รูปแบบการเข้าตี (Attack Pattern) ข้าศึกใช้โดรนหลายลำร่วมกัน มี โดรนนำร่อง (Lead Drone) คอยชี้เป้า และ โดรนล่อหลอก (Decoy) ก่อนส่ง FPV ตัวจริงเข้าโจมตี
• ลักษณะอากาศยานและสรรพาวุธ พบการทิ้งกล่อง GPS Tracker เพื่อส่งพิกัดเป้าหมาย และการปล่อย ค.82 มม. แบบทิ้งลงใส่พื้นที่
2.ภัยคุกคามที่ตรวจพบ
มีการใช้อาวุธเล็งจำลอง เช่น BM-21 ยิงข่ม ก่อนส่ง FPV ระลอกถัดมาโจมตีซ้ำ และพบการใช้กล่อง GPS เป็น “เหยื่อ” เพื่อดักยิงกำลังพลที่เข้าเก็บกู้ และมีความเสี่ยงกับดักระเบิดซ้ำซ้อน
3.ข้อเน้นย้ำและการปฏิบัติ
พบซากมีเสียง = กับดัก ห้ามรวมกลุ่มเด็ดขาด และหากปลอดภัย ให้รีบทำลายหรือแยกกล่อง GPS ออกจากพื้นที่ทันที ทั้งนี้หากมี ค.82 ติดอยู่ ห้ามเก็บกู้ อาจมีระบบระเบิดหรือกับดักอัตโนมัติ
สัญญาณขยายตัวของความรุนแรง
อย่างไรก็ตามตลอด 72 ชั่วโมงที่สถานการณ์ยกระดับอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่กระสุนตกเพียง 2–3 ตำบล กลายเป็นหลายสิบจุดที่เรียงตัวตามแนวชายแดน ตั้งแต่ศรีสะเกษลามไปจนถึงอุบลราชธานี–สุรินทร์–บุรีรัมย์ และไกลถึงตราด
การตรวจพิกัดกระสุนตกทุกจุดจึงไม่ใช่เพียงงานของฝ่ายทหาร แต่เป็น “ชีวิต” ของประชาชนในพื้นที่ เพราะทุกจุดคือสัญญาณการขยายตัวของความรุนแรง และเป็นตัวชี้ว่าไทยต้องรับมือกับการโจมตีรูปแบบใดในชั่วโมงถัดไปของความขัดแย้งนี้
Advertisement