
The Straits Times สื่อสิงคโปร์รายงานว่า เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ประเทศไทยได้ประกาศใช้มาตรการทางทหารเพื่อขับไล่กองกำลังของกัมพูชาออกจากดินแดนของตน หลังจากการสู้รบครั้งใหม่ระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านได้ขยายวงกว้างออกไปตามแนวชายแดน กระทรวงกลาโหมของกัมพูชาระบุว่า มีพลเรือนเสียชีวิต 2 รายในช่วงกลางคืน ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตของฝ่ายกัมพูชาเพิ่มเป็น 6 ราย ขณะที่มีทหารไทยเสียชีวิตในการสู้รบครั้งนี้ 1 นาย
ทั้งสองฝ่ายต่างโทษกันว่าเป็นผู้เริ่มการปะทะครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม การปะทะดังกล่าวทำให้ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยเมื่อเดือนกรกฎาคมต้องล้มเหลวลง
นอกจากนี้ สื่อหลักสิงคโปร์ยังได้รายงานความเคลื่อนไหวของกองทัพเรือไทย โดยระบุว่า กองทัพเรือไทยได้ตรวจพบกองกำลังกัมพูชาอยู่ภายในดินแดนไทยในพื้นที่จังหวัดตราด ซึ่งเป็นจังหวัดชายฝั่งทะเล และได้เริ่มปฏิบัติการทางทหารเพื่อขับไล่กองกำลังดังกล่าวออกไป
กองทัพเรือไทยยังระบุอีกว่า กองกำลังกัมพูชากำลังเพิ่มกำลังทหาร โดยมีการวางพลซุ่มยิงและอาวุธหนัก ปรับปรุงที่ตั้งที่มีการเสริมความแข็งแกร่ง และขุดสนามเพลาะ ซึ่งกองทัพเรือไทยมองว่าการกระทำเหล่านี้ "เป็นภัยคุกคามโดยตรงและร้ายแรงต่ออธิปไตยของประเทศไทย"
ขณะเดียวกัน พลเอกฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้กล่าวเมื่อค่ำวันที่ 8 ธันวาคมว่า ประเทศไทย "ต้องไม่ใช้กำลังทหารโจมตีหมู่บ้านพลเรือนภายใต้ข้ออ้างของการทวงคืนอธิปไตย" โดยก่อนหน้านี้ กัมพูชาอ้างว่าไม่ได้ตอบโต้กลับแม้ว่ากองกำลังของตนจะถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องก็ตาม
Free Malaysia Today (FMT) หนึ่งในสื่อภาคภาษาอังกฤษของมาเลเซียรายงานข่าวเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชารอบใหม่ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา เริ่มต้นตั้งแต่มีคำสั่งอพยพของทั้งฝั่งไทยและฝั่งกัมพูชาใกล้เคียงกับบริเวณที่มีข้อพิพาทชายแดน พร้อมรายงานตัวเลขทหารที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการปะทะในรอบแรก
ล่าสุด เช้าวันนี้ FMT รายงานอัพเดตตัวเลขผู้เสียชีวิตทั้งหมด ระบุว่า สถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาทวีความรุนแรงและขยายวงกว้าง เมื่อทัพเรือไทยตรวจพบกำลังพลกัมพูชาล่วงล้ำเข้าสู่พื้นที่จังหวัดตราด ส่งผลให้กองทัพไทยต้องเปิดปฏิบัติการทางทหารเพื่อผลักดัน ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตรวมเพิ่มเป็น 7 ราย และความตึงเครียดเรื่องพื้นที่พิพาทโบราณสถานยังคงเป็นชนวนสำคัญ
กระทรวงกลาโหมกัมพูชาระบุว่า มีพลเรือนเสียชีวิตเพิ่ม 2 รายในช่วงกลางคืน ทำให้ยอดพลเรือนกัมพูชาเสียชีวิตรวมเป็น 6 ราย ขณะที่มีทหารไทยเสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้ 1 นาย ทหารไทยบาดเจ็บ 18 นาย และพลเรือนกัมพูชาบาดเจ็บ 9 ราย
เว็บไซต์ดังกล่าวยังรายงานว่า การปะทะเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาถือเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่มีการยิงจรวดและปืนใหญ่ใส่กันเป็นเวลาต่อเนื่อง 5 วัน ในเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 48 คน และผู้พลัดถิ่น 300,000 คน ก่อนที่จะมีการหยุดยิงชั่วคราว
Philippine Daily Inquirer รายงานข่าวล่าสุด ระบุว่า สมเด็จฯ ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีและประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้ออกมายืนยันด้วยตนเองเมื่อวันอังคาร (9 ธ.ค.) ว่า กองทัพกัมพูชาได้ "ตอบโต้" การปะทะบริเวณชายแดนกับประเทศไทยแล้ว หลังจากที่รัฐบาลพนมเปญเคยปฏิเสธว่าไม่ได้มีการยิงตอบโต้มาเป็นเวลา 2 วัน
การยืนยันดังกล่าวเกิดขึ้นผ่านโพสต์บนหน้าเพจเฟซบุ๊กส่วนตัวของสมเด็จฯ ฮุน เซน โดยระบุว่า "หลังจากมีความอดทนมานานกว่า 24 ชั่วโมง เพื่อเคารพการหยุดยิง และเพื่อให้มีเวลาอพยพประชาชนไปยังที่ปลอดภัย เมื่อคืนวานนี้ เราได้ตอบโต้ด้วยการดำเนินการเพิ่มเติมเมื่อคืนนี้และเช้าวันนี้"
อดีตผู้นำกัมพูชาเน้นย้ำว่า "กองกำลังของเราต้องต่อสู้ในทุกจุดที่ศัตรูได้โจมตี" พร้อมทั้งได้สั่งการไปยังกองทัพให้ "ดำเนินการตามยุทธศาสตร์เพื่อทำลายกองกำลังของศัตรู" และเสริมว่า "ตอนนี้เราสู้เพื่อป้องกันตัวเองอีกครั้ง"
ทั้งสองประเทศต่างโทษกันและกันว่าเป็นฝ่ายเริ่มต้นการสู้รบครั้งใหม่นี้ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากการที่กองทัพไทยได้เปิดฉากโจมตีทางอากาศและใช้รถถังตอบโต้ต่อประเทศเพื่อนบ้านเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
The Jakarta Post สำนักข่าวอินโดนีเซียเผยแพร่บทความ "ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เปลี่ยนจากข้อตกลงหยุดยิงที่ทรัมป์สนับสนุนไปสู่การโจมตีทางอากาศได้อย่างไร" (How Thailand-Cambodia conflict went from Trump-backed ceasefire to airstrikes) โดยบทความดังกล่าวระบุว่า ประเทศไทยเปิดฉากโจมตีทางอากาศตามแนวชายแดนที่มีข้อพิพาทกับกัมพูชาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังจากที่ทั้งสองประเทศต่างกล่าวหากันว่าละเมิดข้อตกลงหยุดยิงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เป็นผู้ไกล่เกลี่ย
บทความดังกล่าวไล่เรียงเหตุการณ์สำคัญในความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ดังนี้
The Voice of Vietnam รายงานว่า นางฝ่าม ถู หั่ง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า เวียดนามแสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อการเพิ่มขึ้นของความตึงเครียดที่ดำเนินอยู่ระหว่างกัมพูชาและไทย และเสริมว่า ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านและสมาชิกอาเซียน เวียดนามขอเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายใช้ความยับยั้งชั่งใจ ไม่ใช้กำลัง และปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างสมบูรณ์
ในการตอบคำถามของผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับปฏิกิริยาของเวียดนามต่อความตึงเครียดที่ปะทุขึ้นระหว่างกัมพูชาและไทยในพื้นที่ชายแดน นางหั่งเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายดำเนินการเจรจาต่อไป และแก้ไขความขัดแย้งอย่างสันติและน่าพอใจบนพื้นฐานของหลักการพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ, กฎบัตรสหประชาชาติ, กฎบัตรอาเซียน, สนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (TAC) และด้วยจิตวิญญาณของ มิตรภาพและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของอาเซียน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการรักษาไว้ซึ่งสันติภาพ เสถียรภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนาในภูมิภาคและของโลก
โฆษกหั่งกล่าวว่า เวียดนามจะยังคงมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการส่งเสริมการเจรจาและการดำเนินการหยุดยิงระหว่างทั้งสองประเทศ เพื่อฟื้นฟูสันติภาพและความร่วมมือบริเวณชายแดนโดยเร็วที่สุด เพื่อผลประโยชน์ระยะยาวของทั้งสองฝ่ายและของภูมิภาค
สำนักข่าว The Irrawaddy ของเมียนมา รายงานข่าวการปะทะครั้งใหม่ของไทยและกัมพูชาในวันที่ 7 ธันวาคมเท่านั้น โดยพาดหัวข่าวแบบเดียวกับสื่อตะวันตกอย่าง CNN ระบุว่า “ไทยเปิดฉากโจมตีทางอากาศต่อกัมพูชา ท่ามกลางความขัดแย้งบริเวณชายแดน” และเนื้อหาข่าวระบุว่า
กองทัพไทยแถลงว่าไทยได้เปิดฉากโจมตีทางอากาศต่อประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาเมื่อวันจันทร์ โดยทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวโทษกันว่าเป็นต้นเหตุของการสู้รบครั้งล่าสุดที่ชายแดนที่เป็นข้อพิพาทระหว่างกัน ซึ่งทำให้ทหารไทยเสียชีวิต 1 นาย รวมถึงรายงานถ้อยแถลงของโฆษกกองทัพบกไทย ที่เปิดเผยว่า “ใช้เครื่องบินโจมตีเป้าหมายทางทหารในหลายพื้นที่” เพื่อปราบปรามการโจมตีของกองกำลังกัมพูชา
นอกจากนี้ยังรายงานคำแถลงของนางมาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ระบุว่า กองกำลังไทยได้เปิดฉากโจมตีทหารกัมพูชาในจังหวัดพระวิหารและจังหวัดอุดรมีชัยบริเวณชายแดนในช่วงเช้าตรู่ของวันจันทร์ โดยกล่าวหาว่า ไทย “ยิงรถถังหลายนัดไปที่ปราสาทตาเมือนธม” และพื้นที่อื่นๆ ใกล้กับปราสาทพระวิหาร
ทั้งนี้ ในเนื้อหาข่าวระบุไว้ว่าในเดือนตุลาคม ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ร่วมลงนามในปฏิญญาร่วมระหว่างไทยและกัมพูชา โดยนำเสนอข้อตกลงการค้าใหม่กับทั้งสองประเทศ หลังจากที่ทั้งสองประเทศตกลงที่จะขยายเวลาหยุดยิง แต่ไทยได้ระงับข้อตกลงดังกล่าวเมื่อเดือนที่แล้ว หลังจากเกิดเหตุกับระเบิดที่วางไว้ระเบิดขึ้น ทำให้ทหารได้รับบาดเจ็บหลายนาย
ทั้งนี้ ข้อพิพาทนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเมื่อศตวรรษก่อน เกี่ยวกับเขตแดนที่ถูกกำหนดขึ้นในช่วงที่ฝรั่งเศสปกครองอาณานิคมในภูมิภาคนี้ โดยทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ในดินแดนบางส่วน
อย่างไรก็ตาม การรายงานข่าวของสื่อประเทศลาว นับว่าไม่พบความเคลื่อนไหวที่รายงานเกี่ยวกับเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาในสื่อภาคภาษาอังกษ แม้ว่าลาวจะมีความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์กับชายแดนที่มีข้อพิพาทมากที่สุด และก่อนหน้านี้ ทหารลาวเคยได้รับลูกหลงจากการแลกกระสุนและปืนใหญ่ของไทยและกัมพูชาด้วย ขณะที่สื่อบรูไนไม่พบการรายงานข่าวระหว่างไทยและกัมพูชาเช่นกัน