26 พฤศจิกายน 2568 นักการทูตอาวุโสของรัสเซียประกาศว่า รัสเซียจะไม่ยอมผ่อนปรนต่อแผนสันติภาพยูเครน หลังมีการเผยแพร่เสียงสนทนาที่สตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนสหรัฐฯ ให้คำแนะนำเจ้าหน้าที่รัสเซียในการเสนอแผนสันติภาพ และมีคำวิจารณ์ว่าแผนดังกล่าวเข้าข้างรัสเซียอย่างมาก
วิตคอฟฟ์มีแผนเดินทางไปมอสโกในสัปดาห์หน้า พร้อมกับเจ้าหน้าที่อาวุโสสหรัฐฯ คนอื่น ๆ เพื่อเจรจากับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัสเซียเกี่ยวกับแผนยุติสงครามรัสเซีย–ยูเครนที่ดำเนินต่อเนื่องมาเกือบ 4 ปี และเป็นสงครามนองเลือดที่สุดในยุโรปตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง
คลิปเสียงวิตคอฟฟ์แนะรัสเซียหลุด
เมื่อวันพุธที่ 26 พฤศจิกายน 2568 มีรายงานจากสำนักข่าว Bloomberg เผยแพร่คลิปเสียงการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างสตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ ยูริ อูชาคอฟ ผู้ช่วยด้านนโยบายต่างประเทศระดับสูงของประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดีเมียร์ ปูติน
การสนทนาเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 นานราว 5 นาที โดยวิตคอฟฟ์ให้คำแนะนำอูชาคอฟว่าควรเสนอแผนสันติภาพต่อทรัมป์อย่างไร และทำอย่างไรทรัมป์จึงจะพอใจ
“ผมรู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะทำให้แผนสันติภาพสำเร็จ ต้องใช้โดเนตสก์ และอาจแลกเปลี่ยนที่ดินตรงไหนสักแห่ง” วิตคอฟฟ์กล่าว
ผู้แทนพิเศษฯ ยังแนะนำว่า ปูตินควรหยิบยกประเด็นต่าง ๆ อย่างไร ควรกล่าวชื่นชมความสำเร็จของแผนสันติภาพกาซาก่อน และยังเสนอให้มีการคุยทางโทรศัพท์เป็นการส่วนตัวระหว่าง 2 ประธานาธิบดีด้วย
รัสเซียแถลงไม่ผ่อนปรน และยังอีกนานกว่าจะบรรลุ
ก่อนหน้านี้ ปูตินเคยกล่าวว่า เขาเชื่อว่าแผนสันติภาพของสหรัฐฯ สามารถเป็นพื้นฐานในการสร้างสันติภาพได้ และเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เขากล่าวว่า “พร้อมผลักดันกรอบการทำงานที่สหรัฐฯ สนับสนุน” เพื่อยุติสงครามและเจรจาประเด็นที่ยังไม่ลงตัวกับสหรัฐฯ
ล่าสุด เมื่อวันพุธที่ผ่านมา หลังคลิปเสียงการสนทนาวิตคอฟฟ์–อูชาคอฟถูกเผยแพร่ โฆษกรัสเซีย ดิมิทรี เพสคอฟ กล่าวว่า รัสเซียจะไม่ยอมผ่อนปรนแผนสันติภาพให้แก่เคียฟ พร้อมทั้งย้ำว่าแผนยังอีกยาวไกลกว่าจะบรรลุ และการเจรจาที่สหรัฐฯ เป็นตัวกลางนั้น “จริงจัง”
“ยังเร็วเกินไปที่จะพูดเรื่องนั้น” เพสคอฟตอบนักข่าว เมื่อถูกถามว่าแผนสันติภาพใกล้เป็นจริงแล้วหรือยัง
ปฏิกิริยาหลังคลิปเสียงหลุด
ต่อมา ทรัมป์กล่าวว่าได้ฟังคลิปเสียงทั้งหมดแล้ว และมองว่าเป็นเพียง “การเจรจาแบบมาตรฐาน”
“เขาต้องขาย [แผน] ให้ยูเครน ไม่ใช่ขายยูเครนให้รัสเซีย นี่เป็นสิ่งที่นักเจรจาทำกัน [...] คุณต้องพูดว่า ดูสิ พวกเขาอยากได้แบบนี้ ต้องกล่อมเขาด้วยวิธีนี้ เขาก็คงพูดกับยูเครนแบบเดียวกัน เพราะทุกฝ่ายต่างต้องให้และรับ” ทรัมป์กล่าว
แต่สมาชิกพรรครีพับลิกันกลับเห็นต่าง โดยเฉพาะสายขวาจัดที่ร่วมทำงานกับทรัมป์ตั้งแต่เริ่มหาเสียงสมัยที่ 2
ไบรอัน ฟิตซ์แพทริก เรียกร้องให้ปรับกลยุทธ์ใหม่ และโพสต์วิจารณ์วิตคอฟฟ์บนโซเชียลว่า “คือปัญหาใหญ่ และเป็นหนึ่งในเหตุผลว่าทำไมจึงมีเรื่องน่าขันเรื่อย ๆ การคุยกันลับ ๆ แบบนี้ต้องจบลงได้แล้ว”
ด้านสมาชิกวุฒิสภา มิทช์ แม็กคอนเนลล์ อดีตผู้นำวุฒิสภาของพรรคกล่าวว่า ไม่ควรให้รัสเซียได้ประโยชน์ “ข้อตกลงที่ให้รางวัลแก่ความก้าวร้าว ไม่มีค่าพอแม้แต่กับกระดาษที่ใช้เขียนมัน สหรัฐฯ ไม่ใช่ผู้ตัดสินที่เป็นกลาง และก็ไม่ควรทำตัวเหมือนเป็นกลาง” เขาโพสต์บน X
ท่าทีของยุโรปและแนวโน้มสงคราม
นโยบายของสหรัฐฯ ต่อสงครามรัสเซีย–ยูเครนเปลี่ยนแปลงอย่างมากตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2568 การพบกันระหว่างทรัมป์กับปูตินที่อะแลสกาเมื่อเดือนสิงหาคม 2568 ทำให้เกิดความกังวลว่า ทรัมป์จะยอมรับข้อเรียกร้องของปูตินหรือไม่ แต่ท้ายที่สุดกลับลงเอยด้วยการกดดันรัสเซียมากขึ้น
พันธมิตรยุโรปกังวลว่า คลิปเสียงดังกล่าวสะท้อนภาพว่า ยูเครนอาจถูกกดให้ยอมตามรัสเซีย เช่น: การไม่เข้าร่วม นาโต, การให้รัสเซียครอบครองราว 1 ใน 5 ของดินแดน, หรือการจำกัดขนาดกองทัพยูเครน
แผนสันติภาพ 28 ข้อ
แผนสันติภาพ 28 ข้อ เป็นข้อเสนอจากสหรัฐฯ เพื่อสร้างกรอบยุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน และได้รับเสียงวิจารณ์ว่าเข้าข้างรัสเซียอย่างมาก
ขณะนี้แผนยังอยู่ในรูปแบบร่างและยังไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ แต่เจ้าหน้าที่ยูเครนได้เปิดเผยข้อมูลบางส่วนแก่ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ดังนี้:
- อธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของยูเครนจะได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ
- จะมีการจัดทำข้อตกลงไม่รุกรานอย่างรอบด้านระหว่างรัสเซีย ยูเครน และยุโรป โดยความคลุมเครือทั้งหมดตลอด 30 ปีที่ผ่านมาจะถือว่าได้รับการยุติแล้ว
- รัสเซียจะไม่รุกรานประเทศเพื่อนบ้าน และนาโตจะไม่ขยายตัวเพิ่มอีก
- จะมีการเปิดการเจรจาระหว่างรัสเซียกับนาโต โดยมีสหรัฐฯ เป็นผู้ไกล่เกลี่ย เพื่อแก้ไขปัญหาความมั่นคงทั้งหมดและสร้างเงื่อนไขที่เอื้อต่อการลดความตึงเครียด เพื่อเสริมความมั่นคงระดับโลกและเพิ่มโอกาสในการความร่วมมือ รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต
- ยูเครนจะได้รับหลักประกันความมั่นคงที่เชื่อถือได้
- กำลังพลของกองทัพยูเครนจะถูกจำกัดไว้ที่ 600,000 นาย
- ยูเครนจะบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่าจะไม่เข้าร่วมนาโต และนาโตจะเพิ่มข้อกำหนดในกฎบัตรของตนว่าจะไม่รับยูเครนเป็นสมาชิกในอนาคต
- นาโตจะไม่ส่งกองกำลังไปประจำการในยูเครน
- เครื่องบินขับไล่ของยุโรปจะถูกส่งไปประจำการที่โปแลนด์
- หลักประกันด้านความมั่นคงจากสหรัฐฯ จะมีข้อจำกัดดังต่อไปนี้:
- สหรัฐฯ จะได้รับค่าชดเชยสำหรับการให้หลักประกัน
- หากยูเครนรุกรานรัสเซีย จะสูญเสียหลักประกันดังกล่าว
- หากรัสเซียรุกรานยูเครน จะมีการตอบโต้ทางทหารอย่างเด็ดขาด พร้อมทั้งนำมาตรการคว่ำบาตรทั้งหมดกลับมาบังคับใช้อีกครั้ง การยอมรับดินแดนใหม่และผลประโยชน์จากข้อตกลงนี้จะถูกเพิกถอนทั้งหมด
- หากยูเครนยิงขีปนาวุธใส่มอสโกหรือเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กโดยไม่มีเหตุอันควร หลักประกันจะถือเป็นโมฆะ
- ยูเครนมีสิทธิ์ได้รับการพิจารณาให้เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) และจะได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าถึงตลาด EU ในระยะสั้น ระหว่างที่กำลังกระบวนการพิจารณา
- จะมีการจัดทำมาตรการสนับสนุนระดับโลกเพื่อฟื้นฟูยูเครน รวมถึง:
- จัดตั้งกองทุนพัฒนายูเครน เพื่อการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็ว เช่น เทคโนโลยี ศูนย์ข้อมูล (Data Center) และ AI
- สหรัฐฯ จะร่วมกับยูเครนในการพัฒนา ซ่อมแซม ปรับปรุง และดำเนินงานโครงสร้างพื้นฐานก๊าซ รวมถึงท่อส่งและคลังเก็บ
- ความร่วมมือในการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม เพื่อซ่อมแซมและพัฒนาเมืองและที่อยู่อาศัย
- พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
- การสกัดแร่และทรัพยากรธรรมชาติ
- ธนาคารโลกจะจัดทำแพ็กเกจพิเศษเพื่อสนับสนุนทางการเงิน
- รัสเซียจะได้รับการเชื่อมโยงกลับสู่เศรษฐกิจโลก:
- การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรจะดำเนินเป็นขั้นตอน และพิจารณาเป็นรายกรณี
- สหรัฐฯ จะจัดทำข้อตกลงความร่วมมือเศรษฐกิจระยะยาว ในด้านพลังงาน ทรัพยากร โครงสร้างพื้นฐาน AI ศูนย์ข้อมูล และโครงการสกัดโลหะหายากบริเวณอาร์กติก
- รัสเซียจะได้รับเชิญให้กลับเข้าร่วม G8
- เงินทุนที่ถูกอายัดจะถูกนำมาใช้ดังนี้:
- สินทรัพย์รัสเซียที่ถูกอายัด 100,000 ล้านดอลลาร์ จะนำมาลงทุนในการฟื้นฟูยูเครน โดยสหรัฐฯ จะได้รับ 50% ของกำไรจากการลงทุนนี้
- ยุโรปจะสมทบเงินทุน 100,000 ล้านดอลลาร์เพิ่มเติม และกองทุนยุโรปที่ถูกอายัดจะถูกปลดล็อก
- เงินส่วนที่เหลือจะนำไปรวมในกองทุนร่วมลงทุนสหรัฐฯ–รัสเซีย เพื่อสนับสนุนโครงการความร่วมมืออื่น ๆ
- จะมีการตั้งคณะทำงานร่วมสหรัฐฯ–รัสเซีย ด้านความมั่นคง เพื่อกำกับและผลักดันให้เกิดการปฏิบัติตามข้อตกลงนี้
- รัสเซียจะบัญญัติตามกฎหมายว่าจะไม่รุกรานยุโรปและยูเครน
- สหรัฐฯ และรัสเซียจะตกลงยืดอายุข้อตกลงการควบคุมและไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ รวมถึงสนธิสัญญา START I
- ยูเครนตกลงคงสถานะเป็นรัฐปลอดนิวเคลียร์ ตามสนธิสัญญาห้ามแพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT)
- โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเชียจะถูกดำเนินการภายใต้การกำกับของ IAEA และไฟฟ้าที่ผลิตได้จะถูกแบ่งอย่างเท่าเทียมระหว่างรัสเซียและยูเครน (50:50)
- ทั้งสองประเทศจะดำเนินโครงการการศึกษาในโรงเรียนและสังคม เพื่อเสริมความเข้าใจและความอดทนทางวัฒนธรรม ขจัดการเหยียดเชื้อชาติและอคติ:
- ยูเครนจะนำกฎหมาย EU ด้านเสรีภาพศาสนาและการคุ้มครองภาษาชนกลุ่มน้อยมาปรับใช้
- ยกเลิกมาตรการเลือกปฏิบัติทั้งหมด และรับรองสิทธิสื่อและการศึกษาของรัสเซียและยูเครน
- ปฏิเสธและสั่งห้ามแนวคิดและกิจกรรมของลัทธินาซี
- การจัดการดินแดน:
- ไครเมีย ลูฮันสก์ และโดเนตสก์ จะได้รับการยอมรับว่าอยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซียโดยพฤตินัย
- เคอร์ซอนและซาโปริซเชียจะถูก “ตรึงสถานะ” ตามแนวปะทะ
- รัสเซียจะถอนตัวจากดินแดนอื่นนอก 5 ภูมิภาคที่ตกลงไว้
- กองกำลังยูเครนจะถอนทหารจากบางส่วนของแคว้นโดเนตสก์ที่ยังควบคุมอยู่ โดยพื้นที่ถอยทัพนี้จะถูกกำหนดให้เป็น “เขตกันชนปลอดทหาร” (Demilitarised Buffer Zone) ซึ่งอยู่ภายใต้อธิปไตยของรัสเซีย แต่กองกำลังรัสเซียจะไม่เข้ามาในเขตนี้
- ทั้งสองประเทศจะไม่ใช้กำลังเปลี่ยนแปลงข้อตกลงทางดินแดน หากมีการละเมิด หลักประกันด้านความมั่นคงจะไม่ถูกนำมาบังคับใช้
- รัสเซียจะไม่ขัดขวางการใช้แม่น้ำดนีโปรเพื่อการพาณิชย์ รวมถึงจะมีการทำข้อตกลงการส่งออกธัญพืชผ่านทะเลดำอย่างเสรี
- ตั้งคณะกรรมการด้านมนุษยธรรมเพื่อแก้ไขประเด็นที่ค้างอยู่:
- แลกเปลี่ยนนักโทษและร่างผู้เสียชีวิตแบบ “ทั้งหมดต่อทั้งหมด” (All for All)
- ส่งตัวผู้ถูกคุมขัง ตัวประกัน และเด็กทั้งหมดกลับ
- ดำเนินโครงการรวมครอบครัวอีกครั้ง
- บรรเทาความทุกข์ของผู้ได้รับผลกระทบจากสงคราม
- ยูเครนจะจัดการเลือกตั้งภายใน 100 วัน
- ทุกฝ่ายจะได้รับการนิรโทษกรรมสำหรับการกระทำในช่วงสงคราม และจะไม่เรียกร้องหรือฟ้องร้องใด ๆ ในอนาคต
- ข้อตกลงนี้จะมีผลผูกพันตามกฎหมาย โดยมี “สภาสันติภาพ” (Peace Council) นำโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ ทำหน้าที่กำกับดูแลและรับรอง หากมีการละเมิดจะนำไปสู่การคว่ำบาตร
- เมื่อทุกฝ่ายเห็นชอบข้อตกลงนี้ การหยุดยิง (Ceasefire) จะมีผลทันทีหลังจากทั้งสองฝ่ายถอนทหารไปยังจุดที่กำหนดไว้ เพื่อเริ่มดำเนินการตามข้อตกลง
ตั้งแต่การรุกรานเริ่มขึ้นเมื่อปี 2022 กองทัพรัสเซียครอบครองดินแดนยูเครนกว่า 19% และรุกรานได้เร็วที่สุดในปีนี้ ยูเครนและชาติพันธมิตรยุโรปชี้ว่า นี่คือการรุกรานดินแดนแบบจักรวรรดินิยม