
ศัตรูของโลก ณ ขณะนี้คือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปรากฏการณ์ที่นำภัยธรรมชาติมาสู่หลากหลายพื้นที่ทั่วโลก บ่อยครั้งมากขึ้น และหนักหนามากขึ้น แน่นอนว่าที่ตามมาคือความเสียหาย รายงาน Climate and Catastrophe Insight ปี 2025 โดย AON บริษัทผู้ให้คำปรึกษาด้านธุรกิจและการบริหารความเสี่ยง ประเมินว่า โลกเราค่าความเสียหายจากภัยธรรมชาติไปกว่า 368,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2024
รายงานเน้นย้ำถึงมูลค่าความเสียหายที่มากขึ้น โดยในปี 2024 เป็นปีที่ 9 ที่บิลความเสียหายจากภัยธรรมชาติมากกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
และไม่ใช่แค่ด้านการเงิน ชีวิตคนคือสิ่งที่ประเมินค่าเป็นสกุลเงินใดไม่ได้ แต่ The Emergency Events Database (EM-DAT) คาดการณ์จำนวนผู้เสียชีวิตจากภัยธรรมชาติถึง 16,753 คน และข้อมูลจาก IOM ยังเผยว่า ปี 2024 ทำสถิติใหม่ เพราะเป็นปีที่มีผู้พลัดถิ่นภายในประเทศจากเหตุภัยพิบัติมากถึง 45.8 ล้านคน สูงที่สุดตั้งแต่มีการบันทึกมา มากถึง 2 เท่าของตัวเลขเฉลี่ยทศวรรษก่อน แสดงถึงภัยพิบัติที่เข้มข้นขึ้น และยังเป็นผลการพลัดถิ่นภายในประเทศอันดับ 1 อีกด้วย
แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่ความเสียหายที่ “หลีกเลี่ยงไม่ได้” เสมอไป Spotlight ได้คุยกับนักฉุกเฉินการแพทย์ นายชัพวิชญ์ ศิลารักษ์ ภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เกี่ยวกับแนวทางการเตรียมการอพยพ การอพยพหลังเกิดเหตุ และทำไมไทยจึงยังวิกฤตเมื่อมีภัยธรรมชาติ
ภัยธรรมชาติหลายครั้งคาดการณ์ล่วงหน้าไม่ได้ หลายครั้งก็คาดการณ์ล่วงหน้าได้ แต่สิ่งที่เราทำก่อนได้อย่างแน่นอนคือ “แผนเตรียมการ” ซึ่งส่วนนี้หน่วยงานป้องกันภัยท้องถิ่นมักมีข้อมูลอยู่แล้ว
ส่วนนี้คุณชัพวิชญ์กล่าวว่า เส้นทางการอพยพ สถานที่ปลายทางที่จะจัดตั้งศูนย์อพยพ หน่วยงานท้องถิ่นและ ปภ. มีอยู่แล้วว่าคือที่ไหน รวมถึงมีพื้นที่สำรองอันดับ 2, 3 และมากกว่า เผื่อเอาไว้ด้วย ทั้งยังเน้นย้ำว่า “ข้อมูล” คือกุญแจสำคัญในการป้องกันการสูญเสีย ข้อมูลอย่างแรกคือ ข้อมูลภัยพิบัติ
“ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญมาก เหตุการณ์สึนามิที่เราสูญเสียเยอะเป็นเพราะเราขาดข้อมูล ดังนั้นจึงมีศูนย์เตือนภัยพิบัติ [ครั้งนี้] ถามว่ากรมอุตุนิยมวิทยารู้ไหม? รู้ครับ หน่วยงานบริหารน้ำรู้ไหม? รู้ครับ แต่การบริหารการแจ้งเตือนผ่านเซลล์บรอดแคสต์อาจยังไม่เข้มแข็งพอ”
นักการแพทย์ฉุกเฉินให้ความเห็นว่า การออกแจ้งเตือนผ่านเซลล์บรอดแคสต์เพียงอย่างเดียวนั้นไม่พอ แต่ต้องมีการบูรณาการกับหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นเพื่อช่วยประกาศเตือนอีกทาง เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลภัยพิบัติได้ทั่วถึงมากที่สุดที่จะเป็นไปได้
ข้อมูลส่วนที่คุณชัพวิชญ์เล่าว่า ควรมีในการประกาศอพยพประกอบด้วย: สาเหตุการอพยพ ข้อมูลเกี่ยวกับภัยพิบัตินั้น ๆ สถานที่ที่ตั้งศูนย์พักพิง อุปกรณ์และของใช้ที่ประชาชนต้องนำไป ระยะเวลาที่คาดว่าต้องอยู่ในศูนย์ฯ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เประชาชนเตรียมการอพยพได้ดียิ่งขึ้น
ข้อมูลส่วนที่สองที่ต้องมีคือ ข้อมูลประชาชน ต้องมีชุดข้อมูลที่อัพเดตเกี่ยวกับประชาชนในพื้นที่ที่หน่วยงานนั้น ๆ ดูแล จะทำให้หน่วยงานที่ดูแลเรื่องการอพยพสามารถจัดลำดับความสำคัญได้
“แน่นอนว่าต้องมีการจัดลำดับความสำคัญในการอพยพ เช่น กลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไข้ติดเตียง ต้องให้ความสำคัญก่อน”
การมีข้อมูลแบบนี้ จะทำให้เจ้าหน้าที่รู้ว่าต้องไปที่ไหนก่อน และคนกลุ่มเปราะบางนั้นต้องการอะไร เพราะความต้องการของผู้สูงอายุ เด็กอ่อน คนพิการแต่ละประเภท ย่อมมีความต้องการแตกต่างกัน การรู้ว่าจะต้องนำอุปกรณ์เสริมรูปแบบใด และต้องให้ความช่วยเหลือแบบไหน บางคนอาจต้องไปโรงพยาบาลแทนศูนย์อพยพ หรือสถานที่อื่นใด ข้อมูลเหล่านี้จะทำให้การอพยพเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
แต่รัฐบาลไทยเรา ที่มีแบบฟอร์มลงทะเบียนข้อมูลส่วนตัวใหม่ ๆ แทบทุกปีให้รับสิทธิจากนโยบายประชานิยม จะขาดข้อมูลส่วนนี้หรือ?
“รัฐบาลเขามีรายชื่ออยู่แล้ว ก็สามารถเช็คได้เลย หรือประสานเทศกิจ หรือ อสม. [อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน] เลยว่าใครต้องการความช่วยเหลือแบบไหน [...] มันเป็นข้อมูลที่มีอยู่แล้ว แต่ไม่ถูกนำมาใช้ ไม่เกิดการบูรณาการกัน” ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ฉุกเฉินกล่าว
นักฉุกเฉินการแพทย์อธิบายพร้อมยกตัวอย่างว่า กลุ่มเปราะบางบางกลุ่มต้องใช้ออกซิเจนตลอดเวลา หรือบางคนมีแผลกดทับไม่สามารถพลิกตัวได้ เหล่านี้เป็นรายละเอียดสำคัญที่ อสม. โดยทั่วไปมีอยู่แล้ว และหากประสานงานกันจะทำให้การเข้าให้ความช่วยเหลือเป็นไปได้อย่างเหมาะสม
อีกเหตุผลที่ทำให้ข้อมูลมีความสำคัญคือ การนำข้อมูลภัยพิบัติ (ความกดอากาศ, ปริมาณน้ำ, ทิศทางน้ำ, ความเสี่ยงน้ำท่วม และอื่น ๆ) และข้อมูลประชาชน (กลุ่มเสี่ยง, ตำแหน่งที่อยู่อาศัย, ที่ตั้งศูนย์พักพิง, จำนวนประชากร, ความต้องการของแต่ละพื้นที่ และอื่น ๆ) คือการนำข้อมูลเหล่านั้นมาทำเป็นแผนประเมินความเสี่ยง และแผนบริหารความเสี่ยง (risk assessment และ risk management)
“ข้อมูลภัยพิบัติอย่างนี้ [ปริมาณฝน หรือการเกิดพายุ] สามารถพยากรณ์ได้ล่วงหน้า 3-7 วันอยู่แล้ว เรารู้อยู่แล้วว่าจะมีพายุ มีเฮอร์ริเคนเข้ามาในอีกไม่กี่สัปดาห์ มันไม่ใช่เรื่องใหม่ มันเป็นเรื่องที่ประกาศเตือนได้ สำคัญที่สุดคือเราเอาข้อมูลมาประเมินและทำแผนจัดการหรือเปล่า”
การขาดการบูรณาการข้อมูลระหว่างองค์กรต่าง ๆ ขาดการกระจายข้อมูลที่ชัดเจนให้ประชาชน และการเตรียมการ “อีกขั้น” แต่ทำแบบพอดีตัว ทำให้การรับมือภัยที่มีความรุนแรง “กว่าระดับปกติ” เป็นไปอย่างทุลักทุเล การอพยพและตั้งศูนย์พักพิงจึงมักเกิดหลังภัยพิบัติมาเยือนหน้าประตูประชาชน ไม่ใช่ก่อนนั้น อย่างที่ชัพวิชญ์เรียกว่า “เป็นการอุดรอยรั่ว”
เมื่อการอพยพและตั้งศูนย์พักพิงเกิดหลังภัยพิบัติ แน่นอนว่ามีอุปสรรคหลายอย่างตามมา อย่างแรกก็คือตัวภัยเอง อย่างมวลน้ำที่ไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่เมือง เป็นอุปสรรคต่อเจ้าหน้าที่ในการเดินทางเข้าช่วยเหลือ และต่อประชาชนในการเตรียมการ เช่น เวลาลดลง ไม่ทราบจุดหมายการอพยพที่แน่ชัด การจัดเตรียมสิ่งที่ต้องนำติดตัว และมวลน้ำที่ขัดขวางการเดินทาง
นอกจากขัดขวางการอพยพ ภัยพิบัติยังเป็นอุปสรรคต่อการมีชีวิตอยู่ของประชาชน ส่วนนักฉุกเฉินการแพทย์ยังแนะนำการจัด “กระเป๋าฉุกเฉิน” ที่ควรมีติดไว้ในกรณีเกิดภัยพิบัติ ซึ่งควรมีอุปกรณ์ดังนี้
นอกจากนี้ทางฝั่งภาครัฐเอง หากมาแก้ปัญหาเมื่อเกิดภัยแล้ว ก็มีรายละเอียดที่เพิ่มเติมเข้ามาเช่นกัน ที่ต้องมีคือข้อมูลและการวางแผนจากข้อมูลนั้น รู้ภัยและสถานที่ที่จะช่วยวิเคราะห์การทำงานได้ เช่น ในพื้นที่หาดใหญ่มีคลื่นลมพัดเข้าประจำ และยังมี “การตีกลับ” เมื่อสิ่งปลูกสร้างสะท้อนคลื่นลมนั้น อันทำให้เรือโคลงมากขึ้น เพิ่มอันตรายได้ หรือการใช้เรือเข้าไปช่วยเหลือ การใช้เครื่องยนต์เล็กหรือใหญ่เกินไปสำหรับพื้นที่ประสบภัยอาจสร้างความเสียหายมากกว่าช่วยเหลือ
ดังนั้นสรุปแล้ว สิ่งที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องเร่งมือมากขึ้นคือ ข้อมูล การนำข้อมูลที่มีมาใช้ มาแบ่งปันและบูรณาการระหว่างกัน วางแผนล่วงหน้า เพื่อลดผลกระทบจากภัยพิบัติ และทำให้การอพยพเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น