
ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ แต่ช่วยได้จากบนหน้าจอ แค่ไม่พิมพ์คอมเมนต์เชิงลบ ร่วมกันเป็น "ชาวเน็ตคุณภาพ" เติมแรงใจคนทำงานภาคสนาม กู้วิกฤตน้ำท่วมภาคใต้
อุทกภัยครั้งใหญ่ในหลายพื้นที่ของภาคใต้ หนึ่งในสิ่งที่ประชาชนเห็นชัดที่สุดคือภาพการทำงานหนักของเจ้าหน้าที่ในภาคสนาม ตั้งแต่ทีมช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทีมกู้ชีพกู้ภัย ไปจนถึงบุคลากรสาธารณสุขและสุขภาพจิตที่ต้องดูแลทั้งร่างกายและหัวใจของผู้คนในสภาวะกดดันสูง แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่เคยตระหนักคือ “ข้อความในโซเชียล”
การใช้โซเชียลอย่างรับผิดชอบและเห็นอกเห็นใจ มีบทบาทสำคัญต่อระบบช่วยเหลือในภาวะน้ำท่วมอย่างไร และข้อความแบบไหนที่สามารถกลายเป็น “พลังบวก” ให้ทีมภาคสนามได้ทันทีแม้จะอยู่ห่างเป็นร้อยกิโลเมตร
นพ.กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต เผยว่า ประชาชนในพื้นที่น้ำท่วมกำลังเผชิญความเครียด ความวิตกกังวล ความสูญเสีย และความไม่แน่นอนในชีวิต ผู้ที่ต้องอยู่ศูนย์พักพิงอาจพักผ่อนไม่เพียงพอ ขาดความมั่นคงทางอารมณ์ และมีความกลัวต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป ในขณะที่ผู้ที่ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดก็มีความเสี่ยงเกิดความเครียดสะสมเช่นกัน
เมื่ออารมณ์ของผู้คนอยู่ในระดับ “เปราะบาง” ถ้อยคำที่เห็นบนหน้าจอ ทั้งบวกและลบ จะมีอิทธิพลต่อสภาพจิตใจมากเป็นพิเศษ
คำพูดรุนแรง คอมเมนต์กล่าวโทษ หรือการแชร์ข้อมูลที่ยังไม่ยืนยันสามารถทำให้ผู้ประสบภัยรู้สึกหมดหนทาง สับสน หรือกังวลมากขึ้นโดยไม่จำเป็น และอาจทำลายความร่วมมือที่ต้องใช้ในสถานการณ์เช่นนี้
กรมสุขภาพจิตระบุว่า ความเห็นเชิงลบรุนแรงไม่เพียงสร้างความเข้าใจผิด แต่ยัง “บั่นทอนขวัญและกำลังใจของผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่” เหตุผลสำคัญประกอบด้วย
1. เจ้าหน้าที่ทำงานภายใต้ความกดดันสูง
การช่วยเหลือผู้ประสบภัยต้องแข่งขันกับเวลาและความเสี่ยง หากพบข้อความตำหนิหรือกล่าวโทษโดยไม่ตรงกับข้อมูลจริง อาจทำให้เจ้าหน้าที่รู้สึกว่าความทุ่มเทของตนถูกมองข้าม
2. ข่าวลือทำให้ระบบช่วยเหลือทำงานช้าลง
เมื่อเกิดความเข้าใจผิด เจ้าหน้าที่ต้องเสียเวลาอธิบาย แก้ข่าว หรือชี้แจง ทำให้ทรัพยากรถูกเบี่ยงเบนจากงานหลักที่ต้องช่วยเหลือประชาชนโดยตรง
3. เสียงจากโซเชียลคือบรรยากาศทางจิตใจของสังคม
ในภาวะวิกฤต เจ้าหน้าที่จำนวนมากพักผ่อนน้อย ใช้เวลานานในพื้นที่เสี่ยง ความเห็นด้านลบที่เห็นจากโซเชียลอาจกลายเป็นภาระทางใจโดยไม่จำเป็น
ดังนั้น การหลีกเลี่ยงคำวิจารณ์รุนแรงและแชร์ข้อมูลอย่างระมัดระวังคือการ “ช่วยงานในสนาม” โดยตรง แม้จะไม่ได้อยู่ในพื้นที่น้ำท่วมก็ตาม
นพ.จุมภฏ พรมสีดา รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต เน้นย้ำว่า “ข้อมูลเชิงบวกและข้อเท็จจริง” คือหัวใจของการสื่อสารในภาวะภัยพิบัติ จากคำแถลงและหลักจิตวิทยาวิกฤต ข้อความที่ช่วยได้จริงมีลักษณะดังนี้
1) ข้อความที่ให้กำลังใจอย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องยาว ไม่ต้องสวยหรู
ตัวอย่างข้อความที่ช่วยเติมพลังให้เจ้าหน้าที่ได้ทันที
– ขอให้ทีมทุกคนปลอดภัย ทำงานด้วยความเข้มแข็ง
– ขอบคุณที่ทุ่มเทเพื่อพี่น้องในพื้นที่
– สู้ๆ ทุกทีม เราเห็นความตั้งใจของพวกคุณ
– ส่งแรงใจให้ครับ/ค่ะ ขอบคุณที่ยืนอยู่ด่านหน้า
ข้อความเหล่านี้ช่วยให้เจ้าหน้าที่รู้ว่ามีคนรับรู้และเห็นคุณค่าของความเหน็ดเหนื่อย
2) ข้อความที่แชร์ข้อมูลทางการ
การช่วยกันเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องช่วยลดข่าวลือและป้องกันการตื่นตระหนก ตัวอย่างที่ควรแชร์ เช่น
– จุดรับบริจาค
– เส้นทางปลอดภัย
– เบอร์ติดต่อศูนย์ประสานงาน
– คำแนะนำจากหน่วยงานทางการ
3) ข้อความที่เตือนให้ตรวจสอบข่าวก่อนแชร์
เพียงคำเตือน เช่น “ข่าวนี้ยังไม่ชัวร์ อย่าเพิ่งแชร์นะครับ” สามารถช่วยลดความเสียหายและลดภาระในการแก้ข่าวของทีมงานได้มาก
4) ข้อความที่ให้ความร่วมมือ
ในภาวะวิกฤต การสนับสนุนเล็กๆ ก็สำคัญ เช่น
– ถ้าต้องการช่วยขนของอาสา แจ้งได้ครับ
– ขอเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยประชาสัมพันธ์ข้อมูลจากทางการ
– หากขาดอุปกรณ์หรือสิ่งของ แจ้งชุมชนได้เลย เราพร้อมช่วย
งานด้านจิตวิทยาในสถานการณ์ภัยพิบัติพบว่า “การสนับสนุนทางสังคม” มีผลต่อ การรับมือกับอุปสรรค ของทั้งผู้ประสบภัยและผู้ปฏิบัติงาน เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นข้อความยืนยันว่าคนภายนอกเข้าใจ เห็นใจ และไม่ซ้ำเติม ระบบความคิดจะเปลี่ยนจาก “ฉันทำงานหนักแต่ไม่มีใครรับรู้” เป็น “ฉันไม่ได้อยู่คนเดียว”
ผลลัพธ์คือ
– ลดความเครียด
– เพิ่มความมั่นใจ
– เพิ่มพลังงานในการทำงาน
– ลดความรู้สึกโดดเดี่ยวในภาวะกดดัน
จึงไม่น่าแปลกใจที่กรมสุขภาพจิตออกมาขอให้ประชาชน “พูดคุยอย่างระมัดระวัง” และส่งกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ในภาคสนามด้วย
นพ.จุมภฏ พรมสีดา รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต เน้นว่า คนไทยทุกคนช่วยได้ตามกำลัง แม้ไม่สามารถลงพื้นที่น้ำท่วม
สิ่งที่ทำได้ทันทีคือ
– โพสต์ให้กำลังใจ
– แชร์ข้อมูลที่ถูกต้อง
– ช่วยกันหยุดข่าวลือ
– สนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ด้วยคำพูดที่สุภาพและสร้างสรรค์
นี่คือการเป็น “อาสาผ่านโซเชียล” ที่ไม่ต้องสวมเสื้อสะท้อนแสง แต่มีคุณค่าต่อระบบช่วยเหลือในวิกฤตไม่แพ้กัน
เพราะคนที่ติดตามข่าวภัยพิบัติก็มีโอกาสเกิดความเครียดสะสม การใช้ภาษาสงบ ไม่ใส่อารมณ์ คือสิ่งที่ช่วยสร้างสมดุลในสังคม เช่น
– หลีกเลี่ยงคำที่สร้างภาพเกินจริง
– ไม่สรุปสถานการณ์แบบตัดสิน
– ใช้ถ้อยคำเรียบง่าย อ้างอิงข้อมูลทางการ
– เตือนให้ตรวจสอบแหล่งที่มาเสมอ
เมื่อภาษามีความวางใจได้ อารมณ์ของผู้คนก็มีโอกาสตั้งหลักดีขึ้นเช่นกัน
ในวิกฤตน้ำท่วมใต้ปีนี้ สิ่งที่กรมสุขภาพจิตต้องการย้ำคือ “คำพูดมีพลัง” พลังที่อาจเปลี่ยนอารมณ์ของผู้ประสบภัย พลังที่อาจเสริมแรงใจเจ้าหน้าที่ภาคสนาม และพลังที่ช่วยให้ทั้งประเทศร่วมผ่านวิกฤตไปด้วยกันอย่างไม่แตกแยก
หากสังคมช่วยกันสื่อสารอย่างมีสติ โพสต์อย่างรับผิดชอบ และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ด้วยความจริงใจ โซเชียลจะไม่ใช่แค่ช่องทางข่าวสาร แต่จะกลายเป็น “พลังกลางวิกฤต” ที่ช่วยให้การช่วยเหลือเดินหน้าได้เร็วขึ้น ปลอดภัยขึ้น และเข้มแข็งขึ้น
ขอบคุณภาพ : โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
Advertisement