
ปรากฏการณ์ใหม่ในยุควิกฤต ทำไม ภาพปลอมจาก AI ถึงระบาดทุกครั้งที่น้ำท่วม วิธีสังเกตภาพปลอม ไม่ตกเป็นเครื่องมือผู้ไม่หวังดี
เวลา น้ำท่วม เกิดขึ้น สิ่งที่ตามมาตอนนี้แทบจะ “คู่ขนาน” กับน้ำที่ไหลบ่า คือกระแส ภาพปลอมที่สร้างด้วย AI ซึ่งถูกแชร์ด้วยความตั้งใจช่วยหรือบางทีก็ด้วยเจตนาบิดเบือน เหตุการณ์นี้ไม่ได้จำกัดแค่ไทย แต่ใน สหรัฐฯ อินเดีย ฟิลิปปินส์ จีน รวมถึงยุโรป การเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน ภาพปลอมในวิกฤตภัยพิบัติจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะมันเปลี่ยนพฤติกรรมผู้คนที่เสพข่าว ทำให้การตัดสินใจของหน่วยกู้ภัยเพี้ยน และทำให้การช่วยเหลือล่าช้าได้จริง
ภาพ AI ในภาวะวิกฤตจึงไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยีอย่างเดียว แต่มันคือ “โครงสร้างใหม่ของความเสี่ยง” ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ออนไลน์
การแพร่กระจายของภาพปลอมในภาวะน้ำท่วมเป็นปรากฏการณ์ที่ชัดเจนตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา หลังโมเดลสร้างภาพ (image generation models) มีความสามารถสูงขึ้นมาก สามารถสร้างภาพเหตุการณ์ภัยพิบัติได้เหมือนจริงจนคนทั่วไปแยกไม่ออก
1. ภาพน้ำท่วมสร้างง่ายมากสำหรับ AI
น้ำ พื้นผิวสะท้อน เส้นอาคาร ความโกลาหล เป็นแพตเทิร์นที่ AI เรียนรู้จากภาพเหตุการณ์จริงจำนวนมหาศาล จึงสร้างภาพที่ “เหมือนจริง 90–95%” ได้ในไม่กี่วินาที
2. ช่วงวิกฤต = ความเร็วสำคัญกว่าความถูกต้อง
คนแชร์ภาพโดยไม่ตรวจสอบ เพราะคิดว่า “แชร์ไว้ก่อนเผื่อมีประโยชน์” ทำให้ภาพปลอมฝ่าความระมัดระวังไปได้ง่ายที่สุด
3. อารมณ์ของผู้คนในสังคมช่วงน้ำท่วม
ความเครียด–ความกลัว–ความเห็นใจ ทำให้คนตอบสนองต่อภาพแรง ๆ ได้รวดเร็ว ภาพปลอมมักใช้จุดนี้เล่นงาน
4. ใช้ปั่นยอด–ปั่นดราม่า–ปั่นการเมืองได้ง่าย
หลายเพจใช้ภาพปลอมเพื่อเพิ่มยอดแชร์ บางกลุ่มใช้เพื่อโจมตีรัฐบาลหรือหน่วยงานรัฐว่าช่วยช้า ทั้งที่ภาพไม่ใช่เหตุการณ์จริง หรือเป็นภาพจริง เหตุการณ์จริงนั่นแหละ แต่ก็ถูกบิดเบือนปกปิดข้อเท็จจริงด้วยการบอกว่าเป็นภาพปลอม เพราะกลัวเสียภาพลักษณ์ นี่คือ สถานการณ์ปลอมในปลอมที่ผู้คนต้องมีสติใช้วิจารณญาณอย่างเต็มกำลัง
5. อัลกอริทึมโซเชียลดันภาพ emotional สูงขึ้นฟีด
ภาพปลอมกลายเป็นคอนเทนต์ “ขายดี” ในทุกแพลตฟอร์ม เพราะคนกดแชร์มากกว่าภาพจริงที่มาจากหน่วยงานรัฐ
ในทางจิตวิทยาการสื่อสาร ข่าวที่กระตุ้นอารมณ์จะวิ่งไวกว่าข่าวที่กระตุ้นเหตุผลเสมอ ข้อมูลจริงซึ่งอาจมีความละเอียด เช่น ระดับน้ำสูงกี่เซนติเมตร สถานการณ์อยู่ในจุดไหนบ้าง มักจะตกไปอยู่ท้ายฟีด เพราะไม่สร้างแรงสะเทือนทางอารมณ์เท่าภาพที่บิดเบือนเพื่อให้ดูแย่กว่าเดิม
เพราะแบบนี้เอง “สิ่งที่ถูกแชร์มากที่สุด” ไม่ใช่ “ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด” แต่คือ “ข้อมูลที่กระตุ้นอารมณ์ที่สุด” และ AI ทำงานได้ดีอย่างน่ากลัวในบริบทนี้
1. หน่วยกู้ภัยถูกเบี่ยงทรัพยากร
มีหลายเหตุการณ์ที่ทีมกู้ภัยต้องส่งเรือไปพื้นที่ที่ “ไม่มีคนติดอยู่จริง” เพราะมีภาพปลอมถูกแชร์ว่า “มีคนโบกมืออยู่บนหลังคา” ทำให้ต้องเสียเวลาอย่างน้อย 30–60 นาที และอาจทำให้ต้องเลื่อนภารกิจที่สำคัญกว่า เช่น การช่วยคนที่ติดอยู่จริงในพื้นที่อื่น
2. ประชาชนตื่นตระหนกเกินเหตุ
ภาพถนนพัง ครึ่งเมืองจมน้ำ หรือเขื่อนแตกที่เป็นภาพปลอม อาจทำให้ผู้คนรีบอพยพโดยไม่จำเป็น ส่งผลให้ระบบจราจรในเขตวิกฤตปั่นป่วน ผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนย้ายแบบรีบร้อนโดยไม่จำเป็น
3. ทำให้ข้อมูลจริงมีน้ำหนักลดลง
เมื่อสังคมเริ่มสงสัยว่าภาพไหนจริง ภาพไหนปลอม แม้กระทั่งประกาศของภาครัฐหรือสื่อมืออาชีพก็อาจถูกตั้งคำถาม ทำให้การสื่อสารในภาวะวิกฤต “สูญเสียความน่าเชื่อถือ” ซึ่งอันตรายมากโดยเฉพาะในช่วงที่ต้องอพยพหรือแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า
4. ทำให้ครอบครัวเข้าใจสถานการณ์ผิด
คนที่มีญาติอยู่พื้นที่น้ำท่วม บางครั้งเห็นภาพปลอมแล้วเข้าใจว่าญาติอยู่ในอันตราย ทั้งที่จริงน้ำยังไม่ถึง ทำให้เกิดความเครียด ความสับสน และต้องโทรถามซ้ำ ๆ จนระบบสื่อสารล้นในบางช่วงเวลา
5. สร้างภาพลักษณ์ผิดให้พื้นที่
บางจังหวัดถูกแชร์ภาพปลอมว่าน้ำท่วม “ระดับมหาวิพากษ์” จนกระทบเศรษฐกิจหลังน้ำลด เช่น นักท่องเที่ยวไม่กล้าเข้า ร้านค้าเสียลูกค้าเป็นเดือน ทั้งที่ความเสียหายจริงเล็กกว่าที่ภาพปลอมทำให้คนเข้าใจ
• เงาบางจุดไม่สัมพันธ์กับทิศทางแสง
• ตัวหนังสือบนป้ายบิดเบี้ยวผิดรูป
• ใบหน้าคนไม่คม หรือมีนิ้วเกิน
• เสาของบ้านหรือราวสะพานบิดเป็นคลื่น
• ป้ายจราจรเป็นภาษาอื่นทั้งที่ภาพอ้างว่าเป็นไทย
• พื้นน้ำมี texture ซ้ำซ้อนเป็น pattern เดียวกัน
การเจอ 2–3 จุดในภาพเดียว = เสี่ยงสูงว่าเป็นภาพปลอม
ประชาชนทั่วไป
• เช็กว่าภาพมี “ที่มา” หรือไม่
• หลีกเลี่ยงแชร์ภาพที่รุนแรงผิดปกติ
• ใช้การค้นหาภาพย้อนกลับ (reverse image search)
• เช็กข้อความกำกับภาพว่ามีรายละเอียดไม่สมจริงหรือไม่
สื่อมวลชน
• ตรวจสอบ metadata ของภาพ
• ตรวจข้อมูลซ้ำกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
• หลีกเลี่ยงการใช้ภาพไม่ระบุที่มาในข่าวสถานการณ์จริง
หน่วยงานรัฐและกู้ภัย
• ตั้งหน่วย fact-check เฉพาะกิจในภาวะวิกฤต
• ใช้กล้องดาวเทียมและโดรนเพื่อยืนยันภาพ
• สร้างช่องทางอัปเดตข้อมูลแบบ real-time ให้ประชาชนเชื่อถือได้ง่ายขึ้น
น้ำท่วมยุคใหม่ไม่ใช่แค่น้ำที่เอ่อท่วมถนน แต่เป็น กระแสข้อมูลล้น ที่มาพร้อมภาพปลอมจำนวนมาก ผลกระทบไม่ได้อยู่แค่ในโซเชียล แต่สามารถทำให้ภารกิจช่วยชีวิตคนจริง ๆ สะดุดได้
นี่คือโครงสร้างปัญหาใหม่ที่สังคมต้องเรียนรู้ทัน เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย “เร็ว ตรงจุด และแม่นยำ” มากที่สุด
Advertisement