
มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน แห่งซาอุดีอาระเบีย ทรงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำของสหรัฐฯ ณ ทำเนียบขาว ในการเสด็จเยือนสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ นับเป็นการตอกย้ำความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างทั้งสองชาติ
โดยทำเนียบขาวได้ปูพรมแดง เพื่อรับเสด็จมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบียเมื่อวันอังคารที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ท่ามกลางวงดุริยางค์และขบวนเกียรติยศ
ความยิ่งใหญ่ที่เราพบเห็น อาจจะเป็นการส่งสัญญาณว่า ทรัมป์มอง “ตะวันออกกลาง” แตกต่างออกไปแล้ว โดยตะวันออกกลาง “ใหม่” นี้ ขับเคลื่อนโดยการลงทุนด้วยเม็ดเงินมหาศาล และสหรัฐฯ ก็พร้อมเป็นพันธมิตรกับประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ นำโดยพี่ใหญ่อย่างซาอุดีอาระเบีย
หลังจากมกุฏราชกุมารบิน ซัลมาน เสด็จถึงทำเนียบขาว พระองค์และทรัมป์ ได้ทรงพูดคุยกันในหลากหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นโอกาสทางธุรกิจ สันติภาพ ข่าวกรองและธุรกิจเทคโนโลยี นอกจากนี้ ยังรวมถึงความท้าทายต่าง ๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง
Spotlight รวบรวมประเด็นสำคัญจากการที่ทรัมป์เปิดทำเนียบขาวถวายการต้อนรับเจ้าชายแห่งซาอุดีอาระเบีย
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทรัมป์ย้ำว่า เขาอยากเชิญซาอุฯ ให้เข้าร่วม "ข้อตกลงอับราฮัม" (Abraham Accords) ซึ่งสถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างอิสราเอลและหลายชาติในอาหรับ
มกุฏราชกุมารเองก็ทรงส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ในประเด็นดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการระบุถึงรายละเอียดและช่วงเวลาของข้อตกลง โดยมกุฏราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบียทรงย้ำว่า รัฐบาลซาอุฯ ต้องการให้มีความคืบหน้าในการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ อันเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลง
พระองค์ยังทรงให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า พระองค์เชื่อว่าการมีความสัมพันธ์อันดีในชาติตะวันออกกลางทั้งหมดเป็นสิ่งดี และซาอุดีอาระเบียก็ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงอับราฮัม อย่างไรก็ตาม ทางซาอุฯ ต้องการทำให้แน่ใจว่า จะสามารถรักษาแนวทางการแก้ปัญหาแบบสองรัฐได้ ซึ่งวันนี้ พระองค์ทรงหารือกับผู้นำสหรัฐฯ ในสิ่งที่ทั้งสองชาติจะทำงานร่วมกัน และพระองค์มั่นใจว่า ทั้งสองประเทศสามารถเตรียมสถานการณ์อันถูกต้องร่วมกันได้
ด้านทรัมป์เปิดเผยว่า เขามีการหารืออันยอดเยี่ยมร่วมกับเจ้าชายโมฮัมเหม็ด เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว
เมื่อถามว่า ทั้งสหรัฐฯ และซาอุฯ บรรลุข้อตกลงด้านกลาโหมร่วมกันหรือไม่ ทรัมป์ตอบว่า ทั้งสองประเทศได้บรรลุข้อตกลงดังกล่าวแล้ว
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดของการเจรจายังไม่แน่ชัด แต่รัฐบาลซาอุฯ พยายามทำข้อตกลงกลาโหมกับรัฐบาลสหรัฐฯ ในลักษณะที่คล้ายคลึงกับ “มาตรา 5” ของนาโต ซึ่งจะทำให้สหรัฐฯ ต้องส่งความช่วยเหลือมายังซาอุดีอาระเบีย ในกรณีที่ถูกโจมตี
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทรัมป์ก็ยืนยันว่า เขาได้ขายเครื่องบินรบเอฟ-35 ให้กับซาอุดีอาระเบีย และในระหว่างตอบคำถามสื่อ ทรัมป์บอกว่า เครื่องบินเหล่านั้น
เครื่องบินรบที่จะจัดส่งให้ซาอุดีอาระเบียจะไม่ถูกปรับลดขีดความสามารถเพื่อคงความได้เปรียบทางทหารของอิสราเอลในภูมิภาค ซึ่งถือเป็นการเบี่ยงจากนโยบายสหรัฐฯ ที่เรียกว่า “ความได้เปรียบทางทหารเชิงคุณภาพ” (qualitative military edge)
โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวย้ำว่า เขาภูมิใจกับปฏิบัติการสหรัฐฯ โจมตีเป้าหมายโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านเมื่อเดือนมิถุนายน โดยย้ำว่า ทำเพื่อทุกคน เพราะเรามีนักบินที่ดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม ในภายหลัง ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใช้น้ำเสียงที่อ่อนลงเกี่ยวกับอิหร่าน โดยกล่าวว่า รัฐบาลอิหร่านกำลังมองหาหนทางการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งต้องการให้มีการรื้อถอนโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน
โดยทรัมป์ระบุว่า เขาเปิดกว้าง และกำลังคุยกับอิหร่านอยู่ และคงดีหากมีข้อตกลงกับอิหร่าน
ด้านสำนักข่าวทางการซาอุดีอาระเบีย (SPA) รายงานว่า ก่อนการเสด็จเยือนวอชิงตัน มกุฎราชกุมารทรงได้รับจดหมายลายมือจากประธานาธิบดีอิหร่าน แต่ยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับเนื้อหาในจดหมายดังกล่าว และเมื่อวานนี้ มกุฎราชกุมารแห่งซาอุฯ ทรงเปิดเผยว่า ซาอุฯ ก็จะสนับสนุนข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน
ในช่วงต้นของถ้อยแถลงร่วมต่อสื่อมวลชน ทรัมป์ยังแสดงความขอบคุณต่อการลงทุนจากซาอุดีอาระเบีย มูลค่า 600,000 ล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ ซึ่งเขาพูดเชิงล้อเล่นว่า อาจจะเพิ่มมูลค่าให้เป็น 1 ล้านล้านดอลลาร์ได้ หากว่าลองเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายดู เพราะมกุฏราชกุมารแห่งซาอุฯ เป็นเพื่อนของเขา
เขาเสริมว่า เงินลงทุนจากซาอุฯ จะสร้างงานและทรัพยากรให้บริษัทในสหรัฐฯ รวมถึงบริษัทการเงินในวอลล์สตรีท
ด้านมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ดตรัสว่า การลงทุนของซาอุดีอาระเบียในสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจนแตะระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยข้อตกลงมีหลากหลายภาคส่วน ทั้งเทคโนโลยีและเอไอ แร่หายาก ฯลฯ ซึ่งจะสร้างโอกาสการลงทุนจำนวนมาก” เขากล่าว
บรรยากาศภายในห้องทำงานรูปไข่ของทรัมป์เป็นไปด้วยความชื่นมื่น ทั้งสองแลกเปลี่ยนคำชมซึ่งกันและกันตั้งแต่วินาทีที่เจ้าชายแห่งซาอุฯ เสด็จถึงทำเนียบขาว
ในช่วงหนึ่ง ทรัมป์ยื่นมือไปจับมือเจ้าชายซาอุฯ และกล่าวพาดพิงโจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เคยทักทายมกุฏราชกุมารด้วยการชนกำปั้นเท่านั้นระหว่างเยือนกรุงริยาดช่วงการระบาดของโควิด-19 ในปี 2021 โดยทรัมป์บอกว่า เขาคว้าพระหัตถ์ของเจ้าชายก่อนเลย พร้อมทั้งยังยกย่องมกุฎราชกุมารซาอุฯ ว่าเป็นคนที่ “ยอดเยี่ยม” และ “ฉลาดหลักแหลม” รวมถึงมีหลายครั้งที่เรียกเจ้าชายว่าเป็น “เพื่อน”
ระหว่างการแถลงข่าว ทรัมป์ยังกล่าวปกป้องว่า มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน “ไม่รู้อะไรเลย” เกี่ยวกับการสังหารจามาล คาช็อกกี นักข่าวซาอุดีอาระเบียในปี 2018
อย่างไรก็ตาม คำกล่าวของทรัมป์ดูขัดแย้งกับรายงานประเมินข่าวกรองของสหรัฐฯ ในปี 2021 ซึ่งสรุปว่า มกุฎราชกุมารเป็นผู้อนุมัติปฏิบัติการที่นำไปสู่การสังหารคาช็อกกีภายในสถานกงสุลซาอุฯ ในนครอิสตันบูล เมื่อปี 2018
มกุฎราชกุมารซึ่งปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ทรงเปิดเผยว่า ซาอุดีอาระเบียได้ทำทุกอย่างถูกต้องในการสอบสวนการเสียชีวิตของคาช็อกกี ซึ่งพระองค์ทรงเรียกว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่าเจ็บปวด