
การชัตดาวน์หน่วยงานรัฐบาลที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ สิ้นสุดลงแล้ว หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ลงนามในร่างกฎหมายงบประมาณ ทำให้หน่วยงานต่าง ๆ เริ่มกลับมาทำงานได้เป็นปกติอีกครั้ง โดยสภาผู้แทนราษฎรได้อนุมัติร่างกฎหมายดังกล่าวด้วยคะแนนเสียง 222 ต่อ 209 เสียง เมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา ของวันที่ 13 พฤศจิกายน ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ ซึ่งสมาชิกพรรครีพับลิกันเกือบทั้งหมดและสมาชิกพรรคเดโมแครตจำนวนหนึ่งลงมติเห็นชอบ
CNN รายงานว่า อาจต้องใช้เวลาสักพักกว่าสถานการณ์จะกลับมาเป็นปกติ โดยเฉพาะผู้โดยสารที่ต้องการเดินทางจะยังคงได้รับผลกระทบจากการปิดสนามบิน เนื่องจากเที่ยวบินเข้าและออกจากสหรัฐอเมริกากว่า 900 เที่ยวบินถูกยกเลิกในวันนี้ ขณะที่ผู้มีรายได้น้อยที่กำลังรอคูปองอาหาร จะได้รับสิทธิ์เต็มรูปแบบอีกครั้งเมื่อใดนั้น ขึ้นอยู่กับการจัดการของแต่ละรัฐ
ทั้งนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวจะกำหนดจุดอนุมัติเงินทุนใหม่ในรัฐสภาในวันที่ 30 มกราคม แต่ยังจัดสรรเงินทุนให้กับหน่วยงานสำคัญบางแห่งจนถึงปีงบประมาณ 2026 อีกด้วย อย่างไรก็ตาม การชัตดาวน์ที่กินเวลายาวนานมากกว่า 41 วัน สร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไปอย่างมหาศาล Spotlight รวบรวมข้อมูลการประเมินความเสียหายจากหน่วยงานภายในรัฐบาลสหรัฐฯ และองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เห็นภาพว่าอเมริกาพังแค่ไหน จากการชัตดาวน์ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์
สำนักงานงบประมาณแห่งสหรัฐอเมริกา (CBO) ระบุว่า การชะลอการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางจะทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจในระยะสั้น ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในไตรมาสที่สี่ของปี 2025 และความสูญเสียส่วนใหญ่จะถูกกู้คืนกลับมาได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2026
CBO ได้คาดการณ์ว่า การชัตดาวน์ครั้งนี้ จะขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่าระหว่าง 7,000 - 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นมูลค่าที่สูญเสียไปอย่างถาวร และขึ้นอยู่กับระยะเวลาของการชัตดาวน์ด้วย ยิ่งกินเวลามากเท่าไร มูลค่ายิ่งสูญเสียขึ้นหลายเท่ามากเท่านั้น ทั้งนี้ ผลผลิตทางเศรษฐกิจที่สูญเสียไปอย่างถาวรส่วนใหญ่จะเกิดจากการที่ลูกจ้างที่ถูกสั่งให้หยุดงานชั่วคราว จนทำให้การทำงานลดลง
marquetteassociates เว็บไซต์เก็บข้อมูลและทำงานวิจัยของสหรัฐฯ รายงานว่า แม้ว่าการปิดหน่วยงานรัฐบาลครั้งก่อน ๆ จะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจเพียงช่วงสั้น ๆ เนื่องจากพนักงานที่ถูกสั่งให้หยุดงานชั่วคราว (furloughed employees) จะได้รับค่าจ้างย้อนหลังในที่สุด และการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางก็มักจะกลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเมื่อการดำเนินงานกลับมาเป็นปกติ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การปิดหน่วยงานในปัจจุบันได้สร้างความเสียหายที่รุนแรงกว่าด้วยหลายเหตุผล
นักวิเคราะห์ประเมินว่า การปิดหน่วยงานครั้งนี้ได้สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ตั้งแต่ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปจนถึง 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อสัปดาห์ โดยความสูญเสียทั้งหมดได้แซงหน้าความเสียหายจากการปิดหน่วยงานรัฐบาลครั้งก่อน ๆ ไปแล้ว
JPMorgan Chase & Co. (JPM) ซึ่งเป็นสถาบันการเงินและการธนาคารขนาดใหญ่ระดับโลก เผยแพร่บทความ “การชัตดาวน์ส่งผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างไร” โดยมีบทวิเคราะห์ที่ระบุว่า การปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ กำลังส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องเผชิญกับภาวะ ‘ขาดข้อมูล’ สำคัญในการตัดสินใจนโยบายทางการเงิน
หน่วยงานสำคัญของรัฐบาลกลาง อาทิ สำนักสถิติแรงงาน ได้ระงับการดำเนินงานชั่วคราว ส่งผลให้กำหนดการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจที่เป็นทางการต้องล่าช้าออกไป ซึ่งรวมถึงรายงานการจ้างงานและรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่สำคัญต่อการกำหนดนโยบาย ซึ่งแน่นอนว่าทำให้ Fed ปั่นป่วน เนื่องจากภารกิจในปัจจุบันคือการพิจารณาแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม
นอกจากผลกระทบต่อการตัดสินใจของ Fed แล้ว การปิดหน่วยงานยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลิตภาพทางเศรษฐกิจอีกด้วย โดยนายไมเคิล เฟอโลรี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์สหรัฐฯ ของ J.P. Morgan ประเมินว่า การชัตดาวน์แต่ละสัปดาห์จะทำให้การเติบโตของ GDP รายปีลดลงประมาณ 0.1% ผ่านการลดลงของกิจกรรมภาครัฐ และอาจมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ หากระยะเวลาการปิดยืดเยื้อเข้าสู่ช่วงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
แม้ว่าผลกระทบต่อตลาดงานของรัฐบาลจะมีขนาดค่อนข้างเล็ก และพนักงานที่ถูกสั่งพักงานส่วนใหญ่จะได้รับค่าจ้างย้อนหลัง แต่นายเฟอโลรีตั้งข้อสังเกตว่า ผลกระทบในครั้งนี้อาจเลวร้ายลง เนื่องจากมีการขู่ว่าจะมีการปลดพนักงานจริงและเกิดการสูญเสียงาน ซึ่งอาจสร้างความเสี่ยงต่อตลาดแรงงานและการใช้จ่ายของผู้บริโภคได้