
นับเป็นอีกหนึ่งการประชุมสภาสหรัฐฯ ที่ใช้เวลาหลายชั่วโมง ในการหาข้อยุติเกี่ยวกับการผ่านร่างกฎหมายงบประมาณ ซึ่งความขัดแย้งของเดโมแครตและรีพับลิกัน เป็นต้นเหตุให้ภาวะชัตดาวน์ของหลายหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ยืดเยื้อเข้าสู่วันที่ 41 แล้ว โดยการประชุมครั้งล่าสุด เริ่มต้นเมื่อ 11.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น และภายหลังจากนั้นอีก 10 ชั่วโมงต่อมา การลงคะแนนเสียงก็สิ้นสุดลง โดย BBC รายงานว่า ผลการประชุมทำให้การชัตดาวน์เข้าใกล้จุดจบอีกหนึ่งขั้น
วุฒิสภาสหรัฐฯ ได้ลงมติด้วยคะแนนเสียง 60 ต่อ 40 เสียง เพื่อผ่านร่างกฎหมายจัดสรรงบประมาณชั่วคราว (Continuing Resolution หรือ CR) โดยใน 60 เสียงนี้ เกิดขึ้นจากจุดเปลี่ยนสำคัญที่สมาชิกวุฒิสภาจากพรรคเดโมแครต 7 คนและสมาชิกอิสระ 1 คนลงมติร่วมกับพรรครีพับลิกัน รับรองการผ่านร่างงบประมาณดังกล่าว ซึ่งการแปรพักตร์ครั้งนี้ทำลายทางตันที่ยืดเยื้อมาหลายสัปดาห์
เหตุผลหลักที่สมาชิกวุฒิสภาจากพรรคเดโมแครตให้ไว้ สำหรับการปฏิเสธที่จะสนับสนุนข้อตกลงด้านเงินทุนก็คือ พรรคเดโมแครตต้องการให้รัฐบาลต่ออายุประกันสุขภาพให้ประชาชนทันที เพราะถ้าเงินช่วยเหลือนี้หมดอายุ เบี้ยประกันรายเดือนของประชาชนหลายล้านคนจะพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้การประกันสุขภาพราคาแพงจนไม่สามารถซื้อได้
แต่กลุ่มที่เข้าข้างพรรครีพับลิกันคือใคร และพวกเขาคิดอย่างไร จึงยอมเปลี่ยนจุดยืนให้การชัตดาวน์สิ้นสุดลง?
หลายคนรู้จักเขาในฐานะคู่หูในการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของฮิลลารี คลินตันในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016 โดยเขากล่าวว่า เขาสนับสนุนข้อตกลงของพรรครีพับลิกัน เนื่องจากข้อตกลงนี้จะช่วยปกป้องคนงาน และนำสหรัฐฯ ไปสู่เส้นทาง "แก้ไขปัญหาการดูแลสุขภาพของพรรครีพับลิกัน"
นอกจากนี้ พนักงานรัฐบาลกลางประมาณ 300,000 คน กำลังได้รับผลกระทบจากการบังคับหยุดงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง เนื่องจากการชัตดาวน์ เขาจึงตัดสินใจรับรองร่างกฎหมายดังกล่าว เพื่อปกป้องพนักงานของรัฐบาลกลางจากการไล่ออกโดยไม่มีเหตุผล มอบงานคืนให้แก่ผู้ที่ถูกเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม และรับรองว่า พนักงานของรัฐบาลกลางจะได้รับเงินย้อนหลัง
วุฒิสมาชิกรัฐนิวแฮมป์เชียร์ อ้างว่าข้อตกลงนี้เป็นการคืนกระบวนการใช้จ่ายข้ามพรรค ซึ่งรวมถึงเงินทุนสำหรับความช่วยเหลือด้านอาหารและการดูแลสุขภาพสำหรับทหารผ่านศึก เธอกล่าวว่า “การเจรจากับพรรครีพับลิกันเป็นเวลานานหลายสัปดาห์ชี้ให้เห็นชัดว่า ประเด็นการดูแลสุขภาพประชาชน จะไม่ถูกนำมาพิจารณาเพื่อยกเลิกการชัตดาวน์และการรอช้าจะยิ่งทำให้ชาวอเมริกันเดือดร้อนมากขึ้น”
วุฒิสมาชิกอีกคนของรัฐนิวแฮมป์เชียร์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ประชาชนในเขตเลือกตั้งของเธอได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการชัตดาวน์ และขณะนี้กำลังเตรียมรับมือกับต้นทุนด้านการรักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ฮัสซันพูดถึงความสำคัญของการยุติการชัตดาวน์ ระบุว่า “เพื่อให้ลูกหลานของเรามีอาหารกิน เพื่อให้ผู้สูงอายุของเรามีอาหารกิน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศของเราได้นอนหลับพักผ่อนและมีรายได้ ได้รับค่าจ้างในขณะที่ทำงาน เพื่อให้ทหารผ่านศึกของเราได้รับการปกป้อง”
นอกจากนี้ ยังมีวุฒิสภาจากพรรคเดโมแครต คนอื่น ๆ ที่โหวตผ่านร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว ได้แก่ แคทเธอรีน คอร์เตซ มาสโต จากเนวาดา, จอห์น เฟตเตอร์แมน ผู้แทนพรรคเดโมแครตสายกลางจากรัฐเพนซิลเวเนีย, แจ็กกี โรเซน, ดิ๊ก เดอร์บิน จากรัฐอิลลินอยส์ และแองกัส คิง นักการเมืองอิสระ
ความวุ่นวายที่สนามบินในสหรัฐฯ เลวร้ายลงเรื่อย ๆ ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ เผชิญกับการชัตดาวน์ที่ยาวนานที่สุดถึง 41 วัน เที่ยวบินมากกว่า 6,000 เที่ยวบินในแต่ละวัน เกิดความล่าช้า และเกือบ 2,000 เที่ยวบินต่อวันถูกยกเลิก เนื่องจากสนามบินประสบปัญหาขาดแคลนเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศซึ่งเป็นพนักงานรัฐบาลกลาง กำลังทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างหรือถูกพักงานชั่วคราวเนื่องจากการปิดหน่วยงาน บางคนหางานที่สองทำหรือลาป่วย
เพื่อรับมือกับปัญหาการขาดแคลนนี้แนวทางของรัฐบาลกลางได้ยกเลิกเที่ยวบินภายในประเทศทั้งหมด 4% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และคาดว่า ตัวเลขดังกล่าวจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น10% ภายในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ หากการชัตดาวน์ยังคงดำเนินต่อไป ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ขู่จะหักเงินเดือนเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศหากพวกเขาไม่มาทำงาน โดยโพสต์ข้อความว่า "กลับไปทำงานเดี๋ยวนี้!"
เจ้าหน้าที่ควบคุมบางคนโทรไปลาป่วย รับงานอื่น หรือประกาศลาออก เนื่องจากทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง โดยสำนักงานความปลอดภัยการขนส่ง (Transportation Security Administration) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่คัดกรองผู้โดยสารที่สนามบินเพื่อหาภัยคุกคามด้านความปลอดภัย ก็มีพนักงานที่ไปทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างเช่นกัน
ด้านผู้โดยสารแสดงความผิดหวังต่อการยกเลิกเที่ยวบินและความล่าช้า เนื่องจากระบบควบคุมการจราจรทางอากาศของสหรัฐฯ ประสบปัญหาขาดแคลนพนักงาน ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความล่าช้าและการยกเลิกทำให้หลายคนกังวลเกี่ยวกับแผนการเดินทางของตน
ทั้งนี้ วันหยุดขอบคุณพระเจ้าตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน ถือเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวที่คึกคักที่สุดในสหรัฐฯ เนื่องจากผู้คนจำนวนมากเดินทางจากทั่วประเทศเพื่อไปพบปะกับเพื่อนและครอบครัว ดยทั่วไปแล้วหลายคนจะเดินทางในช่วงก่อนและหลังงานเลี้ยงอาหารค่ำกับครอบครัว คาดว่านักเดินทางส่วนใหญ่จะขับรถ แต่อีกกลุ่มใหญ่มักเดินทางด้วยเครื่องบิน