
การเดินทางเยือนเอเชียเป็นเวลา 5 วันของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ผ่านพ้นไปเป็นที่เรียบร้อย และการเดินทางไปต่างประเทศในลักษณะนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะแสดงอำนาจของสหรัฐฯ บนเวทีโลก แต่ในบางช่วงของทริปนี้ก็สะท้อนให้เห็นถึง “ข้อจำกัด” ของอำนาจนั้นเช่นกัน
Spotlight ชวนไปดูข้อตกลงต่าง ๆ ที่ทรัมป์ทำร่วมกับชาติอื่น ๆ ระหว่างเยือนเอเชียครั้งนี้ และวิเคราะห์ถึงความแตกต่างเมื่อทรัมป์เจอสี จิ้นผิง ผู้นำจีน
 
บีบีซีรายงานว่า การเยือนมาเลเซีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ในช่วงสี่วันแรก เป็นเสมือนการแสดงออกถึงความพยายามของประเทศเจ้าภาพในการเอาใจผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งมีความคาดเดาได้ยาก และด้วยลายเซ็นเดียวของทรัมป์ เขาสามารถกำหนดมาตรการภาษีและข้อจำกัดทางการค้า ที่อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเศรษฐกิจของประเทศที่พึ่งพาการส่งออกได้เลย
ระหว่างการเยือนในสี่วันแรก ภารกิจด้านการทูตของทรัมป์ถือว่าราบรื่น เขาได้รับการต้อนรับอย่างเอิกเกริกในแต่ละประเทศ พร้อมการเจรจาการค้ารูปแบบดั้งเดิมที่อยู่ภายใต้แรงกดดันของนโยบาย “ภาษีตอบโต้” ของสหรัฐฯ และยังได้รับสัมปทานในระดับส่วนบุคคลที่หลายครั้งถึงขั้น “ยอมอ่อนข้อ” ให้กับผู้นำอเมริกัน
 
ที่มาเลเซีย ทรัมป์สามารถเจรจาเข้าถึงทรัพยากรแร่หายากที่สำคัญกับทั้งไทยและมาเลเซีย และยังได้ลงนามในสนธิสัญญา เพื่อลดความตึงเครียดบริเวณชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งเป็นลักษณะของข้อตกลงสันติภาพแบบที่ทรัมป์นำเสนอว่าเป็นผลงานของเขาเอง
นอกจากนี้ เมื่อเดินทางไปเยือนญี่ปุ่น ทรัมป์ก็ยังได้ข้อตกลงเรื่องแร่หายากมาอีกด้วย และเมื่อมุ่งหน้าต่อมายังเกาหลีใต้ สหรัฐฯ ก็ยังได้ข้อตกลงที่เกาหลีใต้จะไปลงทุนในสหรัฐฯ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่สหรัฐฯ ยอมลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากเกาหลีใต้ จากเดิม 25% เหลือ 15%.
 
สรุปข้อตกลงที่ทรัมป์ทำระหว่างเยือนเอเชีย
อย่างไรก็ตาม การพบปะระหว่างทรัมป์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนเมื่อวันพฤหัสบดี (30 ตุลาคม) เป็นสิ่งที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
เพราะนี่คือการพบกันระหว่างมหาอำนาจที่เท่าเทียมกันบนเวทีโลก ซึ่งมีเดิมพันสูงต่อทั้งสองประเทศ ทั้งในแง่เศรษฐกิจ เกียรติภูมิระดับนานาชาติ และความเป็นอยู่ของประชาชน เพราะกับจีน แม้ทรัมป์จะสามารถ “สะบัดปากกา” ลงนามมาตรการใดๆ ได้อย่างรวดเร็ว แต่อำนาจเช่นนั้นก็มาพร้อมผลลัพธ์และต้นทุนที่ต้องจ่ายเช่นกัน
 
ทรัมป์ยกย่องการพบปะกับสี จิ้นผิงว่า เป็นการพบที่ยอดเยี่ยม แม้ยังไม่มีข้อตกลงทางการค้าเกิดขึ้น โดยทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงพักศึกชั่วคราว ขณะที่จีนยังคงเดินเกมระยะยาวอย่างรอบคอบ
หลายเดือนที่ผ่านมา ทรัมป์ขู่จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน เพื่อเพิ่มรายได้เข้าคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ และในขณะเดียวกันก็ใช้เป็นแรงกดดันให้จีนเปิดตลาด รวมถึงควบคุมการส่งออกสารเคมีที่ใช้ผลิตยาเฟนทานิล
แต่จีนกลับตอบโต้ต่างจากประเทศคู่ค้ารายอื่นของสหรัฐฯ นั่นคือเลือกที่จะ “ยกระดับการตอบโต้” แทนที่จะยอมอ่อนข้อ”
หากมาตรการภาษีสร้างความลำบากทางเศรษฐกิจให้กับจีน ปักกิ่งก็เลือกจะโจมตี จุดอ่อนของสหรัฐฯ แทน โดยระงับการสั่งซื้อสินค้าเกษตรจากอเมริกา และเสนอใช้มาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งจีนครองตลาดส่วนใหญ่ของโลกใบนี้
หลังการประชุม ทรัมป์มีท่าทีอารมณ์ดี เขาอธิบายว่าการพบปะครั้งนี้ “ยอดเยี่ยมมาก” ถึงขั้นให้คะแนน 12 เต็ม 10
บทสรุปที่ได้จากการประชุมของทรัมป์และสี ได้แก่ สหรัฐฯ ตัดสินใจลดอัตราภาษีนำเข้า ขณะที่จีนผ่อนคลายข้อจำกัดในการเข้าถึงแร่สำคัญ และให้คำมั่นว่าจะกลับมานำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ อีกครั้ง รวมถึงเพิ่มการซื้อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากอเมริกา