Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
จีนมีเสรีภาพทางศาสนาจริงไหม เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ต้องมาที่หนึ่ง
โดย : ณัฏฐณิชา ภู่คล้าย

จีนมีเสรีภาพทางศาสนาจริงไหม เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ต้องมาที่หนึ่ง

22 ต.ค. 68
07:38 น.
แชร์

รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ประกาศใช้เมื่อปี 1982 นั้น ให้เสรีภาพแก่คนจีนมากขึ้นในหลายแง่มุม หนึ่งในนั้นคือเสรีภาพในการนับถือศาสนา อย่างไรก็ดี เสรีภาพนั้นอาจจะเปรียบได้เหมือนการพายเรือออกไปนอกฝั่ง แต่ยังคงอยู่ในบ่อน้ำอันแสนจำกัด ที่ทุกซอกมุม อยู่ภายใต้สายตาของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

การที่พรรคคอมมิวนิสต์คอยจับตาดูทุกความเคลื่อนไหว อาจจะเป็นสาเหตุทำให้มีการ “ปราบปรามศาสนา” เกิดขึ้นอยู่เป็นระยะ เหตุการณ์ล่าสุดคือการจับกุมนักบวชโบสถ์ในบ้าน (house church) หลายสิบคนเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2568 หลังประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ให้คำมั่นจะ “บังคับใช้กฎหมายเข้มงวด” เพื่อเร่งรัดนโยบาย “ทำให้ศาสนาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจีน” โดยแนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่สี จิ้นผิงพูดถึงในปี 2559 ว่า “พรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องชี้นำการปรับตัวของศาสนาให้เข้ากับสังคมแบบสังคมนิยม”

แต่อะไรคือแนวคิดที่ทำให้จีนต้องมีการควบคุมศาสนา และการควบคุมดังกล่าวถือเป็นอัตลักษณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือแก่นที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยยุคจารีต Spotlight ได้มีโอกาสพูดคุยกับรองศาสตราจารย์ ดร. วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านอารยธรรมจีน

ศาสนาใดเป็นแก่นวัฒนธรรมจีน

แม้ปัจจุบันเราจะเห็นผู้ศรัทธาหลากหลายศาสนาในประเทศจีน อันประกอบด้วย พุทธศาสนา คริสต์ศาสนาทั้งนิกายคาทอลิก นิกายโปรเตสแตนต์ อิสลาม และเต๋า ทั้งหมดนี้คือ 5 ศาสนาที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนอนุญาตให้ประชาชนนับถือได้ภายในขอบเขตที่กำหนด อย่างไรก็ตาม อาจารย์วาสนากล่าวว่า ศาสนาของจีนยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่ามีจริงหรือไม่

“ฐานรากของศาสนาในอารยธรรมจีนที่มีอิทธิพลมากที่สุดคือการบูชาบรรพชน ซึ่งบางสำนักยอมรับว่าเป็นศาสนา แต่บางสำนักก็ไม่ยอมรับ เพราะขาดองค์ประกอบของศาสนาโดยทั่วไป”

การบูชาบรรพชนที่เป็นแก่นของอารยธรรม และต่อมา พัฒนากลายเป็น “โครงสร้างทางจริยศาสตร์” แบบขงจื่อ ที่เน้นสอนเรื่องความสัมพันธ์ในสังคม และแม้จะมี “ศาสนามาตรฐาน” อื่น ๆ หรือ 5 ศาสนาหลักที่กล่าวไปข้างต้น เผยแผ่เข้ามาในจีน ศาสนาเหล่านั้นก็ยังอยู่ร่วมกับการบูชาบรรพชน กล่าวได้ว่า คนจีนแม้จะเป็นพุทธ คริสต์ หรือมุสลิม ก็ยังนิยมบูชาบรรพบุรุษอยู่

ศาสนาบอกจุดยืนในสังคม

พุทธกบฎ

อาจารย์วาสนากล่าวว่า ลัทธิขงจื่อ และ “หลี่” หรือการบูชาบรรพชน เป็นโครงสร้างหลักในการปกครองของจีนยุคจารีต อย่างไรก็ตาม มีอีกศาสนาที่มีอิทธิพลตามมาคือ พุทธศาสนา ศาสนาหลักของบางราชวงศ์โดยเฉพาะราชวงศ์ที่ไม่ใช่คนจีนฮั่น เพราะพุทธศาสนาคือ “ศาสนากบฎ”

“เหตุผลข้อที่ 1 คือ พุทธศาสนามาจากนอกจีน คือเอเชียใต้ ราชวงศ์ที่ไม่ใช่จีนฮั่น ที่เป็นต่างชาติ ก็จะมีความเปิดกว้างต่อพุทธศาสนามากกว่า” อาจารย์วาสนากล่าว พร้อมยกตัวอย่างราชวงศ์ที่ถือเอาพุทธศาสนาเป็นแกนกลางการปกครอง คือ ราชวงศ์หยวน (มองโกล) ราชวงศ์ฉิน (แมนจู) และราชวงศ์ถัง (เอเชียกลาง)

“และอีกส่วนคือ พุทธศาสนาบอกว่าทุกคนเท่ากัน มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพในการบรรลุธรรมเท่ากัน ต่างตรัสรู้ได้เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะชายหญิง หรือชนชั้นไหน ซึ่งส่วนนี้ตรงข้ามกับคำสอนของลัทธิขงจื่อ ที่ค่อนข้างเป็นสังคมชนชั้นมาก และไม่ส่งเสริมการเลื่อนชนชั้นทางสังคม” อาจารย์กล่าวต่อ

เนื่องจากโครงสร้างหลักที่ราชวงศ์จีนฮั่นยึดถือคือลัทธิขงจื่อ ซึ่งเน้นบทบาทและความสัมพันธ์ทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่สนับสนุนการเลื่อนชนชั้น ความหนักแน่นจนแข็งตึงบางครั้งจึงหักโค่นด้วยกบฎคณะต่าง ๆ อย่างกบฎชาวนาที่มีฐานรากจากความเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนา

พ่อค้ามุสลิม

ศาสนาอิสลามเข้ามายังจีนในศตวรรษที่ 7 หรือในราชวงศ์ถังที่เปิดรับต่างชาติอย่างใจกว้าง บางส่วนเข้ามาผ่านเส้นทางการค้าทางตะวันตก บ้างก็มาทางเรือผ่านอ่าวเปอร์เซียและมหาสมุทรอินเดีย จนมาถึงท่าเรือทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน แต่ล้วนมาในรูปแบบการค้า 

ต่อมาในสมัยราชวงศ์ถังและหยวน จีนไม่ได้กีดกันการเข้ามาของชาวมุสลิม พวกเขาจึงเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในจีนไม่น้อย พวกเขาสามารถปฏิบัติศาสนาได้ ไม่มีการควบคุมจากรัฐบาลจีนในชุมชนมุสลิม ทั้งยังมีผู้พิพากษาของตนเองที่ตัดสินคดีตามกฎหมายอิสลาม

แม้จะมีความขัดแย้งอยู่บ้าง อาทิ เหตุการณ์ขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างกองทัพถังกับกองทัพอาหรับในปี ค.ศ. 751 การก่อกบฏของหวงเฉา (Huang Chao) แห่งราชวงศ์ถัง ที่นำมาสู่การสังหารชาวต่างชาติอย่างชาวมุสลิม ชาวเนสโตเรียน และชาวยิว แต่เหตุการณ์โดยรวมค่อนข้างสงบดี และชาวมุสลิมไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้มากในอารยธรรมจีน จนศตวรรษที่ 12-13 เมื่อมีการสร้างมัสยิดในกวางโจวและซีอาน

คริสต์สมัยใหม่

เมื่อสังคมเดินเข้าสู่สังคมสมัยใหม่ ศาสนาที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นคือ คริสต์ศาสนา ศาสนามาใหม่จากตะวันตกถูกมองว่าเป็น “ศาสนาแห่งความก้าวหน้า” และความเป็นสมัยใหม่

“เราจะเห็นว่าผู้นำยุค modernization ทั้งหลายนั้นเป็นคริสต์ เช่น ซุนยัดเซ็น เจียง ไคเช็ก หรือ ตั้งแต่กบฏไท่ผิงช่วงปลายราชวงศ์ชิงก็มีการกล่าวอ้างความเกี่ยวข้องกับคริสต์ศาสนาด้วย เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงความเป็นสมัยใหม่ในยุคนั้น” อาจารย์วาสนากล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้จีนในยุคจารีตจะมีศาสนาหลากหลาย และหลายครั้งก็เป็นชนวนเหตุการปฏิวัติ แต่การปราบปรามศาสนานั้นยังไม่เกิดขึ้น เมื่อมีกบฏศาสนาเกิดขึ้น รัฐบาลจะใช้วิธีการบอกว่า กลุ่มคนเหล่านั้นคือ “พวกนอกรีต” เป็น “ของปลอม” “ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนา” และเน้นการปราบปรามรายกลุ่มกบฏไปเสียมากกว่า

“เขาจะปราบกบฏเป็นอัน ๆ ไป ไม่ได้บอกว่าปราบปรามพุทธศาสนา บอกว่าผู้กล่าวอ้าง อ้างผิดพลาด อ้างไม่ถูกต้อง” อาจารย์กล่าว

อันที่จริงแล้ว หากเทียบกับดินแดนข้างเคียงที่มีผู้นำเกลียดกลัวคริสต์ศาสนา อย่างเกาหลี และญี่ปุ่น ในสมัยนั้น (ศตวรรษที่ 15-19) เมื่อคริสต์ศาสนาเริ่มเข้ามาในภูมิภาค อาจารย์วาสนากล่าวว่า จีนตั้งแต่หมิงถึงชิง กลับมีความหยืดหยุ่นกว่ามาก ให้มีการเข้ามาเผยแพร่ ตั้งศาสนสถานตามที่กำหนดไว้ ทั้งยังมีการจ้างงานบาทหลวงเข้ามาทำงานเป็นช่างในราชสำนักอีกด้วย

เหมา ผู้ริเริ่มการปราบปรามศาสนา อย่าได้มาเป็นคู่แข่งท่านผู้นำ

ท่านประธานเหมาไม่ชอบหลายสิ่งหลายอย่างในสังคมจีนยุคก่อนสาธารณรัฐ หนึ่งในนั้นคือศาสนา พรรคคอมมิวนิสต์จีนมองว่า ศาสนาคือการมอมเมาประชาชน ดังนั้นเมื่อสาธารณรัฐประชาชนจีนก่อตั้งในปี 1949 รัฐจีนจึง “ไร้ศาสนา” ไม่ว่าจะพุทธ คริสต์ มุสลิม หรือแม้แต่หัวใจของอารยธรรมจีนอย่างขงจื่อ

“เหมาเกลียดขงจื่อมาก ระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรมก็มีการเผาตำราขงจื่อ และในยุคนี้ การบูชาบรรพชนต้องแอบทำ” อาจารย์กล่าว

ความเป็นขงจื่อถูกทำลายไปให้พ้นสายตาเหมา รวมถึงศาลเจ้าขงจื่อขนาดใหญ่ ในมณฑลซานตง หรือศาลเจ้าประจำตระกูลอื่น ๆ ก็ดี ต่างถูกทำลายจนราบในยุคนั้น แต่คนจีนได้กลับมาบูชาบรรพบุรุษอีกครั้ง ส่วนหนึ่งมาจากซินแสชาวจีนโพ้นทะเล เช่น ในไทย และมาเลเซียที่กลับไปรื้อฟื้นวัฒนธรรมเก่า

กระบวนการที่เหมาใช้ทำลายความเชื่อที่ไม่สอดคล้องกับพรรค รวมถึงศาสนาต่าง ๆ มีตั้งแต่การเผยแพร่ความคิดว่า ศาสนาเป็นสิ่งงมงาย เป็นเครื่องมือของชนชั้นศักดินา ผ่านสื่อต่าง ๆ เช่น วิทยุ หนังสือพิมพ์ และโปสเตอร์ ทั้งยังมีการทำลายทางกายภาพ คือทุบทำลายศาสนสถาน มัสยิด วัด และโบสถ์ถูกเผา หรือเปลี่ยนเป็นสถานที่อื่นเพื่อรับใช้พรรคคอมมิวนิสต์ การเผาทำลายวัตถุบูชา ตำรา คัมภีร์ ข่มเหงผู้นำทางศาสนา และบังคับให้ละเมิดหลักศาสนา อย่างการบังคับให้คนมุสลิมกินหมู ให้ชาวคริสต์เหยียบกางเขน ห้ามถือศีลอดหรือละหมาด

แต่แม้จะบอกว่า การศรัทธาในพระเจ้าเป็นศัตรูกับ “สังคมนิยม” แต่เหมา เจ๋อตง คนนี้กลับทำตัวเป็นพระเจ้าเสียเอง

“ถ้าเราย้อนดูพรรคคอมมิวนิสต์จีนยุคเหมา ตั้งแต่ยุคปฏิวัติวัฒนธรรม เราจะเห็นว่า maism [ลัทธิเหมา] นี่เองเป็นศาสนาประจำชาติจีน เหมา คือพระเจ้าที่ทุกคนต้องบูชาและเชื่อถือ” อาจารย์วาสนากล่าว

คนจีนเชื่อฟังพรรคฯ เชื่อฟังเหมา เพียงเพราะที่ผู้นำและพรรคกล่าวอย่างนั้น ต้องเชื่อมั่น ศรัทธา และภักดี เพียงเพราะพรรคบอก พรรคจึงไม่ได้ต่างจากศาสนาหนึ่งเดียวในขณะนั้น ศาสนาอื่น ๆ จึงเป็นภัยต่อพรรคคอมมิวนิสต์ และต่อเหมา ถือเป็นคู่แข่งที่ท้าทาย

เติ้งผู้ให้เสรีภาพทางศาสนา (บ้าง)

เสรีภาพทางศาสนาของจีนกลับคืนมาอีกครั้งเมื่อจีนสานสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาในสมัยของประธานาธิบดีเติ้ง เสี่ยวผิง และจิมมี คาร์เตอร์แห่งสหรัฐฯ เมื่อปี 1979 จุดเริ่มต้นคือในห้องสนทนาของอดีตประธานาธิบดีทั้งสอง เมื่อเติ้งกล่าวขอบคุณคาร์เตอร์จากพรรคเดโมแครต ที่สานสัมพันธ์กับจีน แม้ว่ากระบวนการจะเริ่มในสมัยประธานาธิบดีรีพับลิกันก่อนหน้า ริชาร์ด นิกสัน ที่เริ่มคุยกับจีนตั้งแต่สมัยเหมาในปี 1972

“เติ้งขอบคุณที่จิมมี คาร์เตอร์สถาปนาความสัมพันธ์กับจีน และถามว่ามีอะไรที่เติ้งจะทำให้จิมมี คาร์เตอร์ได้ไหม ซึ่งจิมมี คาร์เตอร์กล่าวว่า อยากให้คนจีนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา”

สาเหตุที่คาดว่า ทำให้จิมมี คาร์เตอร์ใส่ใจในศาสนาของคนจีน เป็นเพราะเขาเองคือผู้ศรัทธาในคริสต์ศาสนาและไปโบสถ์เป็นประจำ เช่นเดียวกับคนจากทางใต้ของสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ และโบสถ์ที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 39 คนนี้ไปเป็นประจำเมื่อยังเด็ก มีบาทหลวงที่เคยเดินทางไปจีน และยังให้เงินส่งไปช่วยเหลือคนในจีนอยู่ ดังนั้นเขาจึงอยากให้จีนมีเสรีภาพทางศาสนา

เมื่อถึงปี 1982 จึงมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ฉบับเดียวกับที่จีนใช้อยู่ในขณะนี้ นับเป็นครั้งแรกที่สาธารณรัฐจีนระบุให้มีเสรีภาพในการนับถือศาสนา

“แต่เสรีภาพก็เป็นเสรีภาพที่จำกัด” อาจารย์วาสนากล่าว “ตามหลักคอมมิวนิสต์คือ ไม่ส่งเสริม แต่อนุญาต และศาสนาที่นับถือได้ต้องเป็นศาสนามาตรฐาน” อาจารย์กล่าวถึง 5 ศาสนาที่พูดถึงไปตอนต้น อันได้แก่: พุทธศาสนา คริสต์ศาสนานิกายคาทอลิก นิกายโปรเตสแตนต์ อิสลาม และเต๋า

การนับถือศาสนาเหล่านี้ แม้ได้รับอนุญาตแต่ใช่ว่าจะทำได้เลย หากแต่ต้องผ่านองค์การของรัฐบาลจีนที่กำกับดูแลศาสนาเหล่านี้

“คนจีนที่จะนับถือศาสนาเหล่านี้ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลและเชื่อฟังองค์กรทั้ง 5 ที่กำกับศาสนา นอกจาก 5 ศาสนานี้ ถ้านับถือศาสนาอื่นถือเป็นไสยศาสตร์ เป็นความงมงายทั้งสิ้น”

อย่างไรก็ตาม การบูชาบรรพชนนั้น พรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่ถือเป็นศาสนา แต่เป็นหลักปรัชญา ดังนั้นการเชงเม้งจึงยังทำได้ เช่นเดียวกับการบูชาเทพเจ้าของฮินดู ซึ่งไม่เป็นที่นิยมมากนักในจีน และมักไม่มีการรวมตัวกันจำนวนมาก หรือมีนักบวช และไม่มีการตั้งศาสนาสถานจนดูเป็นภัย รัฐบาลก็ไม่ถือเป็นศาสนาเช่นกัน

นับถือศาสดาได้ แต่อย่าเกินหน้าพรรคฯ

“คุณจะบูชาพระเจ้าก็ได้ แต่ถึงเวลาถ้าต้องเลือกระหว่างพระเจ้าของคุณและพรรคคอมมิวนิสต์จีน คุณมีหน้าที่ต้องเลือกพรรคคอมมิวนิสต์จีน” นั่นคือทัศนคติของพรรคฯ ที่อาจารย์วาสนาอธิบาย และส่งผลต่อแนวทางการปฏิบัติตนของศาสนิกชนในจีน

แม้ว่าประชาชนนับถือศาสนาได้ 5 ศาสนา แต่กฎพื้นฐานที่สำคัญที่สุดคือ ความภักดีของพลเมืองจีนทุกคนต้องมอบให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นที่หนึ่ง ศาสนามาเป็นสอง หรือสาม สี่ ก็แล้วแต่

สิ่งนี้เป็นปัญหาต่อ “การมีศรัทธา” เนื่องจากศาสนาที่เป็นเอกเทวนิยมมักจะเรียกร้องให้ผู้ศรัทธาบูชาพระเจ้าเป็นที่หนึ่ง ตัวอย่างความขัดแย้งคือ ผู้นับถือคริสต์ศาสนาคาทอลิกในจีน จะไม่ได้รับอนุญาตให้เคารพหรือมีปฏิสัมพันธ์กับพระสันตปาปา ที่ประทับอยู่ที่วาติกัน เพราะพรรคคอมมิวนิสต์จีนมองว่า นครรัฐวาติกันเป็นประเทศ เป็นรัฐชาติอีกแห่ง และพระสันตปาปาเองนั้นก็คือประมุขแห่งนครรัฐอื่น

หากพระสันตปาปาจะอ้างตนเป็นประมุขชาวคริสต์ และตั้งคาร์ดินัลและบิชอปในจีน พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็มองว่า นั่นคือการละเมิดอธิปไตยของพรรคคอมมิวนิสต์จีน จะบิชอปหรือคาร์ดินัลก็ดี อยู่ในจีนต้องตั้งโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนเท่านั้น

คล้ายกันกับพุทธทิเบต ซึ่งมีคนนับถือไม่น้อยในอาณาเขตประเทศจีน พุทธนิกายนี้มองว่าดาไลลามะคือองค์อวตารของพระโพธิสัตว์ ตั้งปันเชนลามะเป็นผู้สืบทอดต่อไปด้วยการกลับชาติมาเกิด

แต่ดาไลลามะ (แม้ว่าองค์ปัจจุบันจะลี้ภัยไปอยู่อินเดียแล้วหลังพรรคยึดครองทิเบตได้) ถือสิทธิยิ่งใหญ่ในการตั้งผู้สืบทอด อีกทั้งยังทรงเป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณใหม่ด้วยพละกำลังของพระองค์เอง พรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงชี้ชัดว่า พรรคฯ ต้องเป็นผู้ตั้งปันเชนลามะเท่านั้น! ไม่ใช่ดาไลลามะซึ่งเป็นเพียงกลุ่มแบ่งแยกดินแดน

การประกาศขององค์ดาไลลามะว่าจะกลับชาติมาเกิดนอกประเทศจีนจึงเป็นกรณีท้าทายรัฐบาลจีนอย่างที่สุด จนโฆษกรัฐบาลต้องออกมาบอกว่า ดาไลลามะจะกลับชาติมาเกิด รัฐบาลจีนต้องอนุญาตเสียก่อน

“ผู้นับถือพุทธทิเบตในจีนต้องเชื่อฟังรัฐบาลจีนมากกว่าดาไลลามะ” อาจารย์สรุป

การทำให้เป็นจีน แก้ไขอัลกุรอาน

การทำให้เป็นจีน ถือเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญที่พรรคใช้สร้างเอกภาพในชาติ และสำหรับบางศาสนา พรรคก็มองว่า “ขัดต่อความเป็นจีนเสียจริง” ซึ่งส่วนนี้มีความเกี่ยวข้องเป็นพิเศษกับชาวมุสลิมในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์

ต่อให้ไม่นับรวมเรื่องศาสนา ชาวอุยกูรก็ไม่ได้ดูมีความเป็นจีนมากพอให้พรรคพอใจอยู่แล้ว วัฒนธรรมก็ต่างกัน ภาษาไม่เหมือน หน้าตาก็ต่างจากชาวจีนฮั่น ไม่ใช่เอกภาพที่พรรคชอบ ดังนั้นกระบวนการ “ทำให้เป็นจีน” จึงต้องเร่งดำเนินการในพื้นที่อย่างเข้มข้น รวมถึงศาสนาด้วย

“อาจเคยได้ยินกันว่ามี cultural genocide [การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรม] ในซินเจียง คือการทำให้วัฒนธรรมอุยกูร์สลายหายไป รวมถึงมีคำว่า hanization หรือการทำให้คนอุยกูร์กลายเป็นคนจีนฮั่น” อาจารย์กล่าว

แม้รัฐบาลจีนไม่เคยยืนยันอย่างเป็นทางการเรื่องการทำให้คนอุยกูร์เป็นคนฮั่น แต่ทั่วโลกรับรู้มาจากการบอกเล่าของชาวอุยกูร์ที่สามารถหนีออกมาจากกระบวนการเหล่านั้นได้ อาจารย์วาสนายกตัวอย่างคือ การอพยพชาวฮั่นไปอยู่ที่ซินเจียงจำนวนมาก ให้แต่งงานมีลูกหลานและเจือจางสายเลือดอุยกูร์ไป การให้ข้อกล่าวหาก่อการร้าย ซึ่งเป็นที่นิยมทั่วโลกเพื่อใช้ป้ายสีมุสลิม และยังมีการตั้งศูนย์ให้การศึกษาใหม่ เพื่อเปลี่ยนคนอุยกูร์ให้เป็น “คนจีนที่ถูกต้อง” รวมถึงการให้เรียนศาสนาอิสลามแบบที่ “พรรคคอมมิวนิสต์จีนเห็นชอบ”

“หากใครถือพาสปอร์ตจีน และเรียกตัวเองว่าคนจีนแล้ว ก็ต้องทำตัวเป็นคนจีน” อาจารย์พูดถึงแนวคิดของพรรค

“มีรายงานจากผู้ลี้ภัยที่ออกมาได้ แจ้งต่อหน่วยงานสิทธิมนุษยชนว่า มีการแก้ไขคัมภีร์อัลกุรอาน เป็นฉบับที่เป็นมิตรกับวัฒนธรรมแบบชาตินิยมจีน”

ควบคุมศาสนาเพื่อป้องกันภัยนอกประเทศจริงหรือ?

การจับกุมมักบวชเมื่อกลางเดือนตุลาคม 2568 เกิดขึ้นหนึ่งเดือนหลังจากหน่วยงานกำกับดูแลศาสนาระดับสูงของจีนได้สั่งห้ามการเทศน์หรือการอบรมทางศาสนาออนไลน์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ศาสนา รวมถึงการ “สมรู้ร่วมคิดกับต่างชาติ” ซึ่งทำให้เราอาจเชื่อมโยงว่า การปราบปรามศาสนานั้นเป็นข้ออ้างกำจัดอิทธิพลต่างชาติหรือไม่

แม้ความจริงจังในการปราบคริสตศาสนาในจีนอาจเข้มข้นขึ้น เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ตกต่ำ อย่างเช่นในขณะนี้ เนื่องจากมิชชันแนรีในจีนมักมาจากสหรัฐอเมริกา แต่การปราบปรามมีจุดประสงค์หลักเพื่อปราบปรามภัยจากนอกประเทศจริงไหม ข้อนี้อาจารย์วาสนาให้ความเห็นว่า “ไม่จริง”

“ศาสนาทั้งห้า มีเพียงเต๋าเท่านั้นที่เกิดในจีน นอกนั้นก็กำเนิดนอกจีนหมด [...] และคนที่ถูกปราบปรามจริง ๆ จากการนับถือศาสนานอกรีตคือคนจีนมากกว่าคนต่างชาติมาก” อาจารย์กล่าว

“ภัยจากการนับถือศาสนานั้นมาจากในประเทศมากกว่านอกประเทศ แต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนมักจะโทษอิทธิพลนอกประเทศก่อน อ้างว่า ‘หากไม่มีอิทธิพลจากนอกประเทศเลย คนจีนก็จะภักดีต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีน’ แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้น”

เพราะภัยอันตรายที่สุดของพรรคคอมมิวนิสต์จีนคือคนจีนที่ไม่เชื่อฟังพรรค การควบคุมจึงเป็นไปในทุกแง่มุม รวมถึงการนับถือศาสนานั่นเอง


แชร์
จีนมีเสรีภาพทางศาสนาจริงไหม เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ต้องมาที่หนึ่ง