ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองโลกที่ตึงเครียด โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการพบคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ อีกครั้ง และถ้าหากทั้งสองคนได้เจอกันอีก นี่จะเป็นการเจอกันครั้งที่ 4 เพราะก่อนหน้านั้น ทรัมป์และคิมเคยเจอกันมาแล้วถึง 3 ครั้ง สมัยที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ในสมัยแรก
เดือนมิถุนายน 2018 ทรัมป์และคิมเจอกันครั้งแรกในการประชุมสุดยอดที่สิงคโปร์ ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงที่ยอมปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์บนคาบสมุทรเกาหลี ครั้งนั้น ทรัมป์กล่าวยกย่องความสำเร็จของการประชุม แต่บรรดาผู้สังเกตการณ์ก็เตือนว่า การตกลงปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี ย่อมหมายถึงปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีใต้ด้วยเช่นกัน
หลังจากนั้นไม่นาน ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการปฏิบัติตามผลการประชุม การเตรียมการจัดประชุมสุดยอดทรัมป์-คิมครั้งที่สองก็เริ่มขึ้น และการประชุมดังกล่าวก็เกิดขึ้นที่ฮานอย ประเทศเวียดนาม ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2019
แต่นั่นคือช่วงเวลาที่ความมองโลกในแง่ดีของทรัมป์ต้องปะทะกับความเป็นจริงทางการเมืองของเกาหลีเหนือ และการตระหนักรู้ว่า คิมไม่มีวันละทิ้งอาวุธนิวเคลียร์และปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในชะตากรรมเช่นเดียวกับศัตรูคนอื่น ๆ ของสหรัฐฯ อย่างพันเอกมูฮัมมาร์ กัดดาฟี อดีตผู้นำเผด็จการแห่งลิเบีย และซัดดัม ฮุสเซน อดีตผู้นำอิรัก
และแล้วการประชุมสุดยอดที่ฮานอยกลายเป็นบทเรียนของ "ศิลปะแห่งความล้มเหลว" เมื่อผู้นำทั้งสองฝ่ายยุติการเจรจาก่อนกำหนด โดยแถลงการณ์ของสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือต่างกล่าวโทษอีกฝ่ายที่ทำให้ไม่สามารถต่อยอดฉันทามติ ซึ่งเคยบรรลุได้ที่สิงคโปร์
อย่างไรก็ตาม ยังมีโอกาสอีกครั้งสำหรับการพบกันของสองฝ่าย ท่ามกลางความตึงเครียดตลอดเจ็ดทศวรรษ นับตั้งแต่สงครามเกาหลีปี 1950-1953 สิ้นสุดลงด้วยการหยุดยิงที่เปราะบาง และการจัดตั้งพรมแดนที่ได้รับการป้องกันเข้มงวดที่สุดในโลก
ในเดือนมิถุนายน ปี 2019 หลังจากที่ทรัมป์เดินทางไปเข้าร่วมการประชุมสุดยอด G20 ซึ่งจัดขึ้น ณ ประเทศญี่ปุ่น ทรัมป์ก็ได้เดินทางต่อมายังคาบสมุทรเกาหลี และได้ก้าวข้ามเส้นแบ่งเขตทหารที่กั้นระหว่างเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือ เพื่อไปทักทายและตบไหล่คิม จองอึน ภาพเหตุการณ์ในครั้งนั้นถือว่าน่าทึ่ง เมื่อทรัมป์กลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ยังดำรงตำแหน่งคนแรกซึ่งยืนอยู่บนผืนดินของเกาหลีเหนือ อย่างไรก็ตาม การพบกันครั้งนั้นก็ไม่ได้สร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมมากนักเช่นเดิม
และแล้วทางตันด้านนิวเคลียร์ก็ยังคงดำเนินต่อไป สหรัฐฯ และเกาหลีเหนือไม่ได้จัดการเจรจาระดับสูงกันมากว่าหกปีแล้ว โดยไม่สามารถหาข้อสรุปได้ในหลายประเด็น รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรที่เปียงยางควรได้รับ แลกกับการเดินหน้ารื้อถอนโครงการนิวเคลียร์ของตน
การหยุดชะงักทางการทูตอย่างยาวนาน เปิดทางให้เกาหลีเหนือพัฒนาขีปนาวุธและทดสอบ โดยนายอี แจมยอง ประธานาธิบดีของเกาหลีใต้กล่าวระหว่างเดินทางเยือนสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ว่า รัฐบาลเกาหลีเหนือมีความสามารถมากพอที่จะสร้างหัวรบนิวเคลียร์ได้ถึงปีละ 20 ลูกแล้ว และเหลือขั้นตอนพัฒนาเพียงเล็กน้อย ในการสร้างระบบนำหัวรบนิวเคลียร์บนขีปนาวุธกลับคืนสู่ชั้นบรรยากาศและไปให้ถึงแผ่นดินสหรัฐฯ