ประธานาธิบดีลูอิส อีนาซียู ลูลา ดา ซิลวา แห่งบราซิลได้ยื่นคำร้องต่อองค์การการค้าโลก หรือ WTO เพื่อขอคำปรึกษาให้ช่วยตรวจสอบและสั่งลดอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ต่อประเทศบราซิลที่กำหนดไว้สูงถึง 50% ซึ่งแหล่งข่าวภายในรัฐบาลบราซิลยืนยันคำร้องดังกล่าวกับสื่อต่างประเทศเมื่อวานนี้ (6 สิงหาคม 68)
ภาษีนำเข้าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำหนดไว้ให้บราซิล นับเป็นอัตราสูงสุดที่ทรัมป์เคยเรียกเก็บจากประเทศอื่น ๆ ในเดือนสิงหาคม ขณะเดียวกัน คาดว่าอินเดียจะเผชิญกับภาษีนำเข้า 50% ในช่วงปลายเดือนนี้ เว้นแต่จะมีการบรรลุข้อตกลงก่อน
การร้องขอการปรึกษาหารือมักเป็นขั้นตอนแรกในกระบวนการข้อพิพาททางการค้าขององค์การการค้าโลก องค์การนี้ทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินระหว่างประเทศในข้อพิพาททางเศรษฐกิจ แม้ว่าขั้นตอนการเจรจาหาข้อยุติอาจใช้เวลานานและไม่สามารถสรุปผลได้
รองประธานาธิบดีเจรัลโด อัลค์มิน ของบราซิล ประเมินว่า สินค้าส่งออกจากบราซิลไปยังสหรัฐฯ ประมาณ 35.9% จะต้องเสียภาษีศุลกากรในอัตราสูงลิ่ว ซึ่งจำนวนสินค้าของบราซิลที่ส่งไปยังสหรัฐฯ ทั้งหมด คิดเป็น 4% ของสินค้าส่งออกบราซิลไปทั่วโลก
ทรัมป์ให้เหตุผลการเก็บภาษี 50% กับอินเดียว่าเป็นเพราะรัฐบาลอินเดียทำเงินจากน้ำมันรัสเซียได้อย่างมหาศาล และแถมดื้อดึงจะทำการค้ากับรัสเซียต่อ แม้ทรัมป์จะออกปากเตือนแล้ว แต่สำหรับบราซิลนั้น หลายฝ่ายมองว่าเป็นเกมการเมืองระหว่างประเทศ ที่โดนัลด์ ทรัมป์ได้ทีเอาคืน และเป็นการแก้แค้นทางการเมืองมากกว่าการหาดุลที่เหมาะสมของการค้าระหว่างสองประเทศ
เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทรัมป์ได้เปิดเผยอัตราภาษีในจดหมายที่ส่งถึงประธานาธิบดีบราซิล จดหมายฉบับนี้ถูกเผยแพร่ในออนไลน์ด้วย และเนื้อหาที่ทรัมป์เขียนนั้น มีความแตกต่างจากจดหมายภาษีศุลกากรในแบบที่ควรเป็น ทรัมป์ใช้จดหมายดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นในการโจมตีรัฐบาลบราซิลอย่างรุนแรงสำหรับการตัดสินใจดำเนินคดีกับอดีตประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนาโร ของบราซิล ในข้อหาพยายามล้มล้างผลการเลือกตั้งในปี 2022 และก่อรัฐประหารเพื่อดำรงอำนาจต่อไป
แต่เหตุใดทรัมป์ต้องมาเป็นเดือดเป็นร้อนกับการเมืองภายในบราซิล? คำตอบก็คือ ลักษณะข้อกล่าวหาที่อดีตประธานาธิบดีโบลโซนาโรโดนรัฐบาลชุดใหม่ของบราซิลเล่นงานนั้น มีความใกล้เคียงกับข้อกล่าวหาที่ทรัมป์โดนคดีทางการเมืองมาก่อนหน้านี้ เหตุการณ์ที่ผู้สนับสนุนของโบลโซนาโรบุกเข้าทำลายอาคารรัฐสภาของบราซิลในปี 2023 มีความคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่ผู้สนับสนุนของทรัมป์บุกทำเนียบรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อปี 2021
ทั้งสองเหตุการณ์เกิดขึ้นหลังจากที่ผู้นำทั้งสองคนพ่ายแพ้การเลือกตั้งและตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความสุจริตของผลการเลือกตั้ง ซึ่งทรัมป์มองว่า คดีของโบลโซนาโรเป็น "การล่าแม่มด" ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับคดีที่เขากำลังเผชิญอยู่ การปกป้องโบลโซนาโรช่วยให้ทรัมป์สามารถแสดงจุดยืนทางการเมืองของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะผู้นำของกลุ่มขวาจัดระดับโลก
ในเดือนเมษายน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ประกาศว่า สินค้าจากบราซิลที่นำเข้ามายังสหรัฐฯ จะถูกเรียกเก็บภาษี 10% ซึ่งเป็นอัตราฐานต่ำสุดที่ใช้กับประเทศส่วนใหญ่ แต่ขณะที่การหยุดการเรียกเก็บภาษีนำเข้าดังกล่าวและภาษีนำเข้าอื่นๆ ของสหรัฐฯ เป็นเวลา 90 วันกำลังจะสิ้นสุดลง ทรัมป์ก็ได้ขึ้นอัตราภาษีของบราซิลเป็น 50%
นักวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์มองว่า การขึ้นอัตราภาษีของทรัมป์ต่อบราซิลในอัตราที่สูงขนาดนี้ อาจก่อให้เกิดสงครามการค้ากับเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของละตินอเมริกา ซึ่งส่งออกเนื้อวัว กาแฟ เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์อื่นๆ จำนวนมากไปยังสหรัฐฯ
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ทรัมป์อ้างว่าสหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับบราซิล อันที่จริงแล้ว สหรัฐฯ เกินดุลหลายล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หมายความว่า ในความเป็นจริงแล้ว สหรัฐฯ ขายสินค้าให้บราซิลมากกว่าที่ซื้อ จึงเป็นความชัดเจนว่า อัตราภาษีใหม่นี้ไม่ได้มุ่งหวังที่จะสร้างความเท่าเทียมทางการค้า แต่เป็นเรื่องการเมือง และเป็นส่วนหนึ่งของความบาดหมางที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และบราซิล
ความโกรธแค้นของรัฐบาลสหรัฐฯ ส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปที่อเล็กซานเดอร์ เดอ โมราเอส ผู้พิพากษาศาลฎีกาของบราซิลผู้รับผิดชอบในการสอบสวนอดีตประธานาธิบดีโบลโซนาโร นอกจากนี้ ผู้พิพากษาคนดังกล่าว ยังเคยออกคำสั่งปิดบัญชี X ของอีลอน มัสก์ ในบราซิลเป็นการชั่วคราว รวมถึงสั่งระงับบัญชีผู้ใช้งานหลายสิบบัญชี เนื่องจากเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ซึ่ง Musk เรียกว่า "การเซ็นเซอร์"
ในการประกาศขึ้นภาษีต่อบราซิลครั้งล่าสุด ทำเนียบขาวยังกล่าวหาบราซิลว่า “รัฐบาลบราซิลข่มเหง ข่มขู่ คุกคาม เซ็นเซอร์ และดำเนินคดีกับโบลโซนาโรโดยมีแรงจูงใจทางการเมือง” ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นอันตรายต่อสหรัฐฯ โดยมุ่งเป้าไปที่ "สิทธิเสรีภาพในการพูดของบุคคลในสหรัฐฯ" และไม่นานก่อนที่จะมีการประกาศเรื่องภาษีศุลกากร สหรัฐฯ ก็ได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อผู้พิพากษาโมราเอส และออกวีซ่าห้ามเขาและครอบครัวเดินทางเข้าสหรัฐฯ ด้วย