การที่รัสเซียบุกยูเครนนั้น ทั่วโลกรู้กันดีว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซียคือผู้เริ่มสงคราม ขณะที่ โจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ไม่สามารถยุติการรุกรานได้ ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพียงใด และสงครามก็กินเวลามาถึงปัจจุบันที่เขาได้ก้าวลงตำแหน่งตั้งแต่ปลายปี 2024 สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน จึงตกอยู่ในมือของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน นั่นก็คือ โดนัลด์ ทรัมป์
ในฐานะตำแหน่งของทรัมป์ นับว่ามีอำนาจมากที่สุดในโลก เขาจึงมีหน้าที่ต้องจัดการกับความขัดแย้งที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง เนื่องจากสหรัฐฯ มีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะพันธมิตรและผู้สนับสนุนหลักของยูเครนตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีคนก่อน
หลายฝ่ายเชื่อว่า ทรัมป์สามารถละทิ้งสงครามนี้ไปได้เลย แต่เขากลับเลือกที่จะใช้บุคลิกส่วนตัวเข้ามาจัดการ โดยเริ่มจากแนวคิดที่ว่า เขาสามารถยุติมันได้ภายใน 24 ชั่วโมง หรือกำหนดเส้นตายใหม่เป็น 100 วัน จากนั้นเขาก็พยายามจัดการกับบุคลากรที่เกี่ยวข้อง โดยเริ่มจากการเข้าใกล้ประธานาธิบดีรัสเซียในตอนแรก สะท้อนวาทกรรมของเขา แล้วจึงหันมาตำหนิ ประธานาธิบดีโวโลดืเมียร์ เซเลนสกี แห่งยูเครนต่อหน้าสาธารณะ เกิดเป็นฉากวิกฤตทางการทูตที่สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก
นอกจากนี้ เขายังสั่นสะเทือนองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO อย่างรุนแรง โดยเรียกร้องให้สมาชิกจ่ายเงินสมทบเพื่อการป้องกันยุโรปมากขึ้น ซึ่งพวกเขาได้ลงนามกันไปเมื่อเดือนที่ผ่านมา แต่ท้ายที่สุดแล้ว ความเคลื่อนไหวที่เขาพยายามมาทั้งหมด กลับไม่ได้ช่วยคลายความรุนแรงของสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนเลย และดูเหมือนจะทวีความรุนแรงกว่าเดิมด้วยซ้ำ
แต่ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง ทรัมป์ได้ตระหนักรู้อย่างถ่องแท้แล้ว ว่าปูตินไม่ต้องการสันติภาพ ขณะที่ยูเครนต้องการอาวุธอย่างเร่งด่วน ซึ่งสหรัฐฯ ก็พยายามจะส่งความช่วยเหลือ แม้จะไม่เต็มใจก็ตาม นอกจากนี้ยังตีฝีปากบนโซเชียลมีเดียกับอดีตประธานาธิบดีมิทรี เมดเวเดฟ แห่งรัสเซีย ด้วยการขู่ว่าจะใช้กำลังนิวเคลียร์ที่รุนแรงขึ้นอีก โดยจะนำเรือดำน้ำนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ เข้าไปใกล้รัสเซียมากขึ้น ท่าทีเช่นนี้ เรียกได้ว่าไต่ระดับรุนแรงขึ้นไม่ถึงเดือน จากที่บอกว่าจะระงับความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครน สหรัฐฯ กลับหันไปขู่ใช้กำลังนิวเคลียร์ต่อรัสเซีย
ขณะที่เส้นตายที่ทรัมป์ยื่นให้รัสเซียลงนามในข้อตกลงหยุดยิงเร่งด่วน ซึ่งปูตินต้องตัดสินใจก่อนวันที่ 8 สิงหาคมที่จะถึงนี้ มิเช่นนั้น สหรัฐฯ จะดำเนินการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจกับรัสเซียอย่างรุนแรง เช่น การกำหนดภาษีรอง (secondary tariffs) กับประเทศที่ซื้อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย และหากมีการใช้มาตรการนี้จริง ทรัมป์ก็ต้องยอมรับว่าไม่ใช่แค่รัสเซียที่เดือดร้อน แต่เป็นประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ และสหรัฐฯ เองด้วยที่ต้องเจ็บตัว
การใช้มาตรการคว่ำบาตรที่รุนแรงกับอินเดียและจีนอาจสั่นคลอนตลาดพลังงานโลกได้ ทรัมป์โพสต์เมื่อวันจันทร์ว่าเขาจะเพิ่มภาษีนำเข้ากับอินเดีย เพราะอินเดียขายน้ำมันดิบรัสเซียเพื่อทำกำไร และเขา “ไม่สนใจว่าจะมีคนถูกสังหารจากเครื่องจักรสงครามของรัสเซียไปกี่คน” แม้เขาจะไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการใหม่ก็ตาม อย่างไรก็ตาม อินเดียยังไม่ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าจะหยุดซื้อผลิตภัณฑ์พลังงานจากรัสเซียหรือไม่ ส่วนจีนพึ่งพาน้ำมันและก๊าซจากรัสเซียอย่างเต็มรูปแบบ จึงไม่สามารถหยุดซื้อได้
หลายฝ่ายเชื่อว่า ทีมทำเนียบขาวจะต้องจัดการอะไรสักอย่าง เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ “TACO” ซึ่งเป็นตัวย่อของคำว่า “Trump Always Chickens Out” (ทรัมป์มักจะขี้ขลาดเสมอ) ที่เขาจะต้องกลับลำตัวเองเพราะไม่อยากได้รับผลกระทบจากการคว่ำบาตร รัฐบาลสหรัฐฯ จึงส่ง สตีฟ วิตคอฟ ทูตพิเศษสหรัฐฯ ไปเยือนรัฐบาลมอสโกในสัปดาห์นี้ ซึ่งทรัมป์อาจยอมรับการประชุมทวิภาคีกับปูตินเพื่อเป็นสัญญาณความคืบหน้าสู่สันติภาพ แม้ในความเป็นจริงอาจไม่ได้คืบหน้าไปไหนเลยก็ตาม
CNN เขียนในบทความวิพากษ์วิจารณ์ว่า ทรัมป์ไม่สามารถทำทุกอย่างได้ตามใจชอบ เป็นธรรมชาติของเขาที่จะพยายามเป็นศูนย์กลางของการตัดสินใจและเป็นจุดรวมของความสนใจในทุก ๆ ประเด็น ทุกจุดเปลี่ยนที่ผ่านมาล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจและจินตนาการส่วนตัวของเขา และนี่คือบทเรียนสำคัญของตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ทรัมป์ไม่มีสิทธิ์เลือกได้ว่าปัญหาใดเป็นของเขา และปัญหาใดที่เขาจะเพิกเฉยได้ นโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ของกลุ่ม MAGA อาจมุ่งเน้นที่การลดบทบาทของสหรัฐฯ ในเวทีโลก แต่มันไม่ได้อนุญาตให้ทรัมป์เป็นเจ้าของแต่เฉพาะความสำเร็จของเขาเท่านั้น และละเลยความล้มเหลว เว้นแต่ทรัมป์จะลดบทบาทของอำนาจอเมริกันในโลกให้เป็นศูนย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับบุคลิกของประธานาธิบดีที่ถูกผลักดันให้ต้อง “ลงมือทำ” และสร้างความปั่นป่วน เพราะฉะนั้นจึงจะมีปัญหาบางอย่างที่เป็นของอเมริกาอยู่เสมอ
เช่นเดียวกับที่ทรัมป์กล่าวว่าเขาต้องการให้สงครามยุติลง แต่สงครามก็ไม่ได้สิ้นสุดลงทั้งหมด
สมัยบารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ได้รับ “มรดกสงคราม” เป็นสงครามในอิรักและอัฟกานิสถาน เขาตัดสินใจ ถอนทหารออกจากอิรัก อย่างรวดเร็ว แต่กลับส่งทหารไปอัฟกานิสถานเพิ่มขึ้น ซึ่งการเพิ่มกำลังพลนี้ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเท่าที่ควร จึงนับได้ว่า สงครามอิรักและอัฟกานิสถานเป็นของโอบามา แต่ก่อนที่เขาจะทำตามแผนได้หมดวาระเสียก่อน แผนกลับถูกส่งต่อให้ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนถัดมาเป็นคนดำเนินการ และเมื่อไบเดนถอนทหารในเดือนสิงหาคม 2021 สถานการณ์ก็เกิดความโกลาหล กองกำลังตาลีบันเข้ายึดอำนาจอย่างรวดเร็ว
นี่อาจถึงคราวของทรัมป์ ที่ได้รับช่วงต่อความยุ่งเหยิงของสงครามยูเครนกับรัสเซีย ทรัมป์กำลังเผชิญกับปัญหาเดียวกัน นั่นคือการได้รับช่วงต่อวิกฤต การเสียชีวิตในสนามรบอันน่าโศกเศร้า ได้สร้างความเสียหายและความเจ็บปวดไปทั่ว ทำให้สงครามนี้กลายเป็นสงครามเพื่อความอยู่รอดของรัฐบาลเครมลิน และเพื่อจิตวิญญาณของสังคมยูเครน ชาวยูเครนต้องการมีชีวิตอย่างสงบสุข โดยไม่มีเสียงไซเรนเตือนภัยทางอากาศดังขึ้นทุกคืน แต่ปูตินไม่ต้องการสันติภาพ และเรียกร้องให้ดินแดนยูเครนตกเป็นของรัสเซีย
ท้ายที่สุดแล้ว ความจริงที่โหดร้ายก็คือ สงครามนี้ถูกมองว่าเป็นสงครามของทรัมป์ มันเป็นความขัดแย้งที่สำคัญที่สุดในยุคการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา ผลลัพธ์ของมันจะกำหนดความมั่นคงของยุโรปและท่าทีอันแข็งกร้าวของจีนในทศวรรษหน้า จีนเข้าใจเรื่องนี้และต้องการให้รัสเซียชนะ ส่วนยุโรปก็เข้าใจ และกำลังติดอาวุธให้ตัวเองเพื่อไม่ให้รัสเซียเห็นช่องโหว่ในความอ่อนแอของกลุ่มพันธมิตร ส่วนทรัมป์จะเข้าใจเรื่องนี้และยอมรับการตัดสินใจที่อึดอัดและรุนแรงพร้อมกับผลที่ตามมาหรือไม่นั้น เราจะได้รู้กันในสัปดาห์หน้า