เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2568 องค์กร Amnesty International ได้เผยแพร่รายงานเชิงลึกซึ่งระบุว่า รัฐบาลกัมพูชาได้เพิกเฉยและปล่อยให้ค่ายหลอกลวง (scamming compounds) หรือศูนย์มิจฉาชีพขยายตัวอย่างกว้างขวาง โดยมีอย่างน้อย 53 แห่งทั่วประเทศ
รายงานดังกล่าว ซึ่งมีชื่อว่า “I Was Someone Else’s Property” ชี้ว่าภายในค่ายเหล่านี้มีการค้ามนุษย์ การใช้แรงงานเด็ก และการทรมานเกิดขึ้นในวงกว้างจนมีผู้เสียชีวิต โดยองค์กร Amnesty International ใช้เวลาลงพื้นที่เก็บข้อมูลภาคสนามอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลากว่า 18 เดือน เพื่อตรวจสอบสถานการณ์โดยตรง
จากการรวบรวมข้อมูลและสัมภาษณ์ผู้รอดชีวิต Amnesty พบว่าทางการกัมพูชารับรู้ถึงสถานการณ์การค้ามนุษย์และการละเมิดสิทธิมนุษยชนในค่ายเหล่านี้มาโดยตลอด แต่กลับไม่มีการดำเนินการที่จริงจังเพื่อยับยั้งหรือป้องกัน อีกทั้งยังพบกรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐบางรายอาจมีส่วนร่วม หรือเอื้อประโยชน์ให้กับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งอาชญากรรมชาวจีนที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมค่ายหลอกลวงหลายแห่งในประเทศ
รายงานฉบับดังกล่าว เปิดเผยคำให้การของผู้รอดชีวิต 58 คน จาก 8 สัญชาติ รวมถึงเด็ก 9 คน ซึ่งตกเป็นเหยื่อของขบวนการหลอกลวงในกัมพูชา โดยก่อนเดินทางไปกัมพูชา ผู้เสียหายส่วนใหญ่เข้าใจว่ากำลังสมัครงานที่ถูกกฎหมาย ได้รับข้อเสนอเงินเดือนสูง และในบางกรณีมีการนำเสนอภาพสถานที่ทำงานที่ดูน่าเชื่อถือ เช่น โรงแรมหรูพร้อมสระว่ายน้ำ เพื่อสร้างความมั่นใจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดินทางถึงกัมพูชา ผู้เสียหายกลับถูกควบคุมตัวในค่ายที่มีลักษณะคล้ายเรือนจำ ถูกยึดเอกสารประจำตัว ถูกข่มขู่ด้วยความรุนแรง และถูกบังคับให้ทำงานในเครือข่ายหลอกลวงออนไลน์ ซึ่งสร้างรายได้มหาศาลจากการฉ้อโกงเหยื่อทั่วโลก
ขบวนการเหล่านี้มักล่อลวงเหยื่อผ่านโฆษณางานปลอมบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook และ Instagram จากนั้นยังใช้ช่องทางเดียวกันบังคับให้เหยื่อดำเนินการหลอกลวงคนอื่นต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ปลอม การชักชวนลงทุนหลอกลวง การขายสินค้าที่ไม่มีอยู่จริง รวมถึงการฉ้อโกงรูปแบบ "Pig Butchering Scam" ซึ่งเป็นกระบวนการหลอกลวงที่เน้นสร้างความไว้ใจก่อนล่อให้เหยื่อโอนเงิน
อักเนส คัลลามาร์ด เลขาธิการ Amnesty International ระบุว่า “ผู้รอดชีวิตเหล่านี้ถูกหลอก ถูกค้ามนุษย์ และถูกกดขี่ พวกเขาติดอยู่ในฝันร้ายที่กลายเป็นความจริง และถูกบีบบังคับให้เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรอาชญากรรมที่ดูเหมือนจะได้รับการยินยอมโดยปริยายจากทางการกัมพูชา”
จากการสำรวจภาคสนามของ Amnesty International ในพื้นที่จริง 52 แห่ง จาก 53 แห่ง ครอบคลุม 16 เมืองทั่วกัมพูชา และอีก 45 แห่งที่เชื่อว่าน่าจะเป็นค่ายหลอกลวง พบว่าค่ายหลอกลวงส่วนใหญ่เคยเป็นคาสิโนและโรงแรมเก่าที่ถูกดัดแปลงใช้งานใหม่ หลังจากรัฐบาลกัมพูชามีคำสั่งห้ามการพนันออนไลน์ในปี 2562
ค่ายเหล่านี้ถูกออกแบบให้ไม่สามารถหลบหนีได้ มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดรอบพื้นที่ กั้นรั้วลวดหนาม มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยติดอาวุธเฝ้าตลอดเวลา บางแห่งพบอาวุธปืนและกระบองไฟฟ้าเป็นเครื่องมือข่มขู่ ผู้รอดชีวิตจำนวนมากยืนยันตรงกันว่า “ไม่มีทางหนีออกไปได้เลย”
จากการสัมภาษณ์ผู้รอดชีวิต 58 คน Amnesty สรุปว่าอย่างน้อย 32 คนเข้าข่ายเป็นเหยื่อของการเป็นทาสตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยผู้จัดการค่ายมีอำนาจควบคุมชีวิตแรงงานอย่างเบ็ดเสร็จ บางรายถูกขายต่อไปยังค่ายอื่น ขณะที่บางคนต้องทำงานชดใช้หนี้ที่ค่ายกล่าวอ้าง ผู้รอดชีวิตหลายคนเล่าว่าพวกเขาเห็นเพื่อนร่วมค่ายถูกขายต่อไปต่อหน้าต่อตา
ตัวอย่างที่สะท้อนความโหดร้ายอย่างชัดเจนคือกรณีของ “ลิซ่า” หญิงสาวชาวไทยที่ถูกล่อลวงตั้งแต่อายุ 18 ปี ขณะหางานช่วงปิดเทอมในประเทศไทย โดยนายหน้าหลอกว่าจะให้ทำงานเอกสารในโรงแรมที่มีสระว่ายน้ำ แต่สุดท้ายถูกพาข้ามแม่น้ำเข้าสู่กัมพูชาในเวลากลางคืน และถูกควบคุมตัวอยู่ในค่ายนานถึง 11 เดือน โดยถูกบังคับให้ทำงานหลอกลวงออนไลน์ เมื่อพยายามหลบหนี ลิซ่าถูกชาย 4 คนรุมทำร้ายอย่างโหดเหี้ยม สามคนช่วยกันกดตัวเธอไว้ ขณะที่หัวหน้าค่ายใช้แท่งเหล็กตีฝ่าเท้าจนเธอกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
ในอีกกรณี สิถิ ผู้รอดชีวิตอีกคนหนึ่ง เล่าว่าเขาเห็นชายชาวเวียดนามถูกทำร้ายเป็นเวลาเกือบ 25 นาที “พวกเขาตีเขาจนตัวเป็นสีม่วง ใช้กระบองไฟฟ้าจี้ซ้ำ ๆ จนเขาไม่สามารถร้องหรือยืนได้ ก่อนที่หัวหน้าค่ายจะพูดว่า รอขายเขาต่อไปยังค่ายอื่น” สิถิกล่าว
ในบรรดาเด็ก 9 คนที่ถูกสัมภาษณ์ พบว่ามีอย่างน้อย 5 คนที่ยืนยันว่าถูกทรมานและปฏิบัติอย่างโหดร้าย เด็กชายไทยวัย 17 ปีที่ใช้ชื่อสมมติว่า “Sawat” เล่าว่า เขาถูกผู้จัดการค่ายทำร้ายร่างกายหลายครั้ง ก่อนจะถูกขู่บังคับให้ถอดเสื้อผ้าและกระโดดลงมาจากอาคาร
ผู้รอดชีวิตจำนวนหนึ่งยังให้ข้อมูลตรงกันว่า มีผู้เสียชีวิตภายในค่าย โดยบางคนได้ยินเสียงร่างของผู้เสียชีวิตตกกระแทกหลังคา Amnesty ยืนยันว่า มีเด็กชาวจีนอย่างน้อย 1 รายเสียชีวิตในค่ายจากเหตุการณ์ดังกล่าว
Amnesty International เปิดเผยว่า รัฐบาลกัมพูชาล้มเหลวอย่างเป็นระบบในการปกป้องเหยื่อ โดยแม้จะได้รับแจ้งเหตุการละเมิดสิทธิมนุษยชนในค่ายหลอกลวงซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับไม่ดำเนินการเชิงรุก และตอบสนองต่อข้อมูลที่ Amnesty ส่งมอบเพียงด้วยสถิติที่ไม่ชัดเจน โดยไม่มีมาตรการแก้ไขหรือป้องกันอย่างเป็นรูปธรรม
มอนเซ เฟร์เรร์ ผู้อำนวยการวิจัยภูมิภาคของ Amnesty กล่าวว่า "ทางการกัมพูชารู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นในค่ายเหล่านี้ แต่กลับปล่อยให้ค่ายหลอกลวงเหล่านี้ดำเนินการต่อ ผลการสอบสวนของเราชี้ถึงความล้มเหลวของรัฐบาลที่เปิดทางให้เครือข่ายอาชญากรรมเติบโต"
แม้ว่าทางการกัมพูชาจะอ้างว่ามีการจัดตั้งคณะกรรมการแห่งชาติต่อต้านการค้ามนุษย์ (NCCT) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายแห่งเพื่อรับมือกับปัญหานี้ แต่ข้อมูลจาก Amnesty International ระบุว่า มากกว่า 2 ใน 3 ของค่ายหลอกลวงที่ถูกรายงานในเอกสารยังคงเปิดดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน แม้ว่าจะเคยมีการเข้าตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือได้รับการเปิดเผยจากสื่อมวลชนแล้วก็ตาม
ตัวอย่างที่สะท้อนสถานการณ์นี้ชัดเจน คือ ค่ายแห่งหนึ่งในเขตโบทุม สะกอร์ ซึ่งเคยถูกรายงานการค้ามนุษย์โดยสื่อและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายหลายครั้ง แต่ค่ายดังกล่าวยังคงเปิดดำเนินการอยู่จนถึงปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการบังคับใช้กฎหมายที่ไร้ประสิทธิภาพ รวมถึงความเป็นไปได้ที่มีการสมรู้ร่วมคิดระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลจาก Amnesty ยังเปิดเผยว่า เหยื่อที่ได้รับ "การช่วยเหลือ" จากค่ายหลอกลวงเหล่านี้มักถูกนำไปกักตัวในศูนย์กักกันคนเข้าเมืองของกัมพูชาที่มีสภาพความเป็นอยู่ย่ำแย่ โดยทางการไม่ยอมรับว่าผู้ที่ถูกกักตัวเหล่านี้เป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ และไม่ให้ความช่วยเหลือตามที่กฎหมายระหว่างประเทศกำหนด ทั้งที่กัมพูชาเป็นภาคีในอนุสัญญาที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของเหยื่อ
ในขณะเดียวกัน Amnesty ยังพบว่า ผู้ที่ออกมาเปิดโปงเครือข่ายค่ายหลอกลวง หรือรายงานข่าวเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนมักตกเป็นเป้าหมายของรัฐ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักข่าวหลายรายถูกจับกุม ขณะที่ในปี 2023 รัฐบาลกัมพูชาได้สั่งปิดสำนักข่าว Voice of Democracy ซึ่งเป็นหนึ่งในสื่ออิสระไม่กี่แห่งของประเทศ Amnesty มองว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการตอบโต้ต่อผู้ที่พยายามเปิดโปงความจริงและวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ Amnesty International ยังพบหลักฐานที่บ่งชี้ว่ามีการประสานงาน หรืออาจถึงขั้นสมรู้ร่วมคิดระหว่างหัวหน้าค่ายชาวจีนกับตำรวจในกัมพูชา ซึ่งไม่ได้ดำเนินการปิดค่ายแม้จะทราบถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้น
เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ Amnesty International เรียกร้องให้รัฐบาลกัมพูชาดำเนินการปิดค่ายหลอกลวงทั้งหมดโดยทันที พร้อมดำเนินการสอบสวนอย่างโปร่งใส และนำตัวผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม รวมถึงให้การช่วยเหลือเหยื่ออย่างเหมาะสมตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล
มอนเซ เฟร์เรร์ ผู้อำนวยการวิจัยภูมิภาคของ Amnesty International ระบุว่า “รัฐบาลกัมพูชามีศักยภาพที่จะยุติปัญหานี้ได้ในทันที แต่กลับเลือกที่จะไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง สิ่งที่เราเห็นในปัจจุบันคือการแทรกแซงที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงการสร้างภาพ มากกว่าความตั้งใจในการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง”
รายงานยังเปิดเผยว่า ผู้รอดชีวิตที่ให้ข้อมูลในครั้งนี้มาจากหลากหลายประเทศทั่วเอเชียและแอฟริกา ได้แก่ จีน ไทย มาเลเซีย บังกลาเทศ เวียดนาม อินโดนีเซีย ไต้หวัน เอธิโอเปีย อินเดีย เคนยา เนปาล และฟิลิปปินส์ สะท้อนให้เห็นว่าเครือข่ายค่ายหลอกลวงในกัมพูชามีลักษณะข้ามชาติและส่งผลกระทบในวงกว้าง
Amnesty เน้นย้ำว่า ภายใต้พันธกรณีตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ รัฐบาลกัมพูชามีหน้าที่อย่างชัดเจนในการปกป้องประชาชนจากการตกเป็นเหยื่อของการเป็นทาสยุคใหม่ การค้ามนุษย์ และการทรมาน พร้อมทั้งต้องจัดให้มีการช่วยเหลือ เยียวยา และคุ้มครองเหยื่ออย่างเป็นรูปธรรม หากรัฐบาลยังคงเพิกเฉย วงจรการค้ามนุษย์ในกัมพูชาจะยังคงขยายตัว และส่งผลกระทบต่อผู้คนนับล้านทั่วโลกต่อไป
อ้างอิง: Amnesty International