ภายหลังจากที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุข ที่กำหนดกัญชากลับมาเป็นสมุนไพรควบคุมที่มีค่าต่อการศึกษาหรือวิจัย หรือมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ในวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยระบุเหตุผลการแก้ไขว่า “เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน ประกอบกับปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายใดมาใช้ควบคุมเป็นการเฉพาะ เพื่อมิให้ใช้ไปในทางที่ผิดวัตถุประสงค์ จึงควรมีการควบคุมไม่ให้นำกัญชาเฉพาะส่วนที่เป็นช่อดอกไปใช้ในทางที่ผิดวัตถุประสงค์ของการใช้ประโยชน์จากสมุนไพรดังกล่าว”
ด้านนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร อ้างว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งกระทบต่อประชาชนในสังคมไทย แต่ที่ผ่านมาพบว่า มีการนำกัญชาออกจากบัญชีสารเสพติด ทำให้มีการเปิดร้านค้าหลายประเภทที่มีวัตถุประสงค์ทั้งเพื่อการสันทนาการและเพื่อการแพทย์ อย่างไรก็ตาม คำสั่งดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่พรรคภูมิใจไทยมีมติลาออกจากพรรคร่วมรัฐบาล และสื่อไทยหลายสำนักมองว่าเป็นการไล่เช็กบิล โดยปลดนโยบายหลักเรื่องกัญชาเสรี ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคใช้เรียกคะแนนเสียงจากประชาชนมาโดยตลอด
ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวยังเรียกความสนใจจากสื่อต่างชาติเช่นกัน เนื่องจากภายในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ที่ไทยเดินหน้าปลดกัญชาเสรี ได้สร้างผลกระทบต่อต่างชาติ โดยเฉพาะการลักลอบขนกัญชาไปยังต่างประเทศอย่างผิดกฎหมาย แต่ขณะเดียวกันก็สร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย ในฐานะหมุดหมายการท่องเที่ยวและแหล่งบันเทิงของโลก Spotlight รวบรวมข่าวต่างประเทศจากสำนักข่าวใหญ่ ๆ พวกเขาพูดถึงไทยอย่างไรในประเด็นนี้
BBC News สื่อสำคัญระดับโลกสัญชาติอังกฤษ รายงานข่าวการเปลี่ยนแปลงบัญชีกัญชากลับมาเป็นยาเสพติดโดยเชื่อมโยงกับข่าวการลักลอบขนยาเสพติดเข้าสหราชอาณาจักร ซึ่งปัจจุบันมีการตรวจพบการลักลอบสูงขึ้น โดยรายงานว่า นักท่องเที่ยววัยรุ่นมักถูกกลุ่มค้ายาในอังกฤษล่อลวงให้ถือกระเป๋าเดินทางที่เต็มไปด้วยกัญชาและสารเสพติดอื่น ๆ โดยเฉพาะในเที่ยวบินจากประเทศไทย และเมื่อเดือนที่แล้ว หญิงสาวชาวอังกฤษสองคนถูกจับกุมในจอร์เจียและศรีลังกา พร้อมกัญชาจำนวนมากจากประเทศไทย ปัจจุบันทั้งคู่ต้องเผชิญกับโทษจำคุกที่ค่อนข้างรุนแรง
เบกี ไรท์ โฆษกของหน่วยงานอาชญากรรมแห่งชาติในลอนดอน (NCA) กล่าวว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่าน คดีการลักลอบขนกัญชาเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยในปี 2023 เจ้าหน้าที่สามารถสกัดกั้นรถบรรทุกขนส่งกัญชาอย่างน้อย 5 ตันได้มากถึง 142 ตัน และตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 800 คันในปี 2024 แถมตัวเลขน้ำหนักของกัญชายังเพิ่มสูงเฉลี่ย 26 ตัน แน่นอนว่าในปี 2025 นี้ ตัวเลขจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องด้วย
ในปี 2025 มีผู้ต้องหาลักลอบนำกัญชาเข้าประเทศจำนวน 173 ราย ซึ่งเกือบทั้งหมดมาจากประเทศไทย พวกเขาถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีในศาลของสหราชอาณาจักร และได้รับโทษจำคุกรวมทั้งสิ้น 230 ปี ทั้งนี้ NCA กำลังทำงานร่วมกับทางการไทยเพื่อพยายามป้องกันไม่ให้เยาวชนลักลอบนำกัญชาเข้าประเทศอังกฤษ แต่การทำเช่นนี้กลับทำได้ยาก เนื่องจากในประเทศไทยมีกฎระเบียบควบคุมกัญชาเพียงไม่กี่ฉบับ
โจนาธาน เฮด ผู้สื่อข่าวภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ BBC ที่เขียนบทความดังกล่าวระบุว่า การทำให้กัญชาถูกกฎหมายในปี 2022 ควรตามมาด้วยกรอบการกำกับดูแลใหม่โดยรัฐสภาไทย แต่สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลย เพราะการขัดขวางของกลุ่มผลประโยชน์จาก อุตสาหกรรมกัญชา กฎหมายกัญชาฉบับใหม่ได้รับการร่างขึ้นเมื่อปีที่แล้ว แต่กว่าจะผ่านอาจต้องใช้เวลาถึง 2 ปี
ผลที่ได้คือ “กัญชาป่าเถื่อนแบบตะวันตก” ซึ่งการสร้างธุรกิจและเม็ดเงินก็ทำได้อย่างถูกกฎหมายไปด้วย นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มค้ายาจากต่างประเทศที่แอบอยู่เบื้องหลังกลุ่มผู้ค้ากัญชาชาวไทย โดยปลูกกัญชาสายพันธุ์ที่มีฤทธิ์แรงจำนวนมหาศาล ส่งผลให้ตลาดล้นทะลักและทำให้ราคาลดลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดึงดูดพวกลักลอบขนของผิดกฎหมาย แม้ว่าผู้ที่ครอบครองกัญชาจะถูกจับกุมมากกว่าครึ่ง แต่พวกเขาก็ยังคงสามารถทำเงินจากกัญชาที่ส่งไปยังสหราชอาณาจักรได้ เนื่องจากราคากัญชาที่นั่นสูงกว่ามาก
มาดูในฝั่งของสำนักข่าวระดับโลกของสหรัฐฯ กันบ้าง แม้ CNN จะยังไม่ได้รายงานข่าวเกี่ยวกับการประกาศเปลี่ยนกฎหมายเกี่ยวกับกัญชาในประเทศไทย แต่ข่าวล่าสุดที่มีความเกี่ยวข้อง คือการรายงานข่าวเจย์ เอ็มมานูเอล-โธมัส นักฟุตบอลชื่อดังที่ออกมาสารภาพว่าได้ขนยาเสพติดประเภทกัญชา 60 กิโลกรัม มูลค่าราว 800,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
เอ็มมานูเอล-โธมัส ที่มีอดีตสโมสรอยู่กับอาร์เซนอลและอิปสวิชทาวน์ในพรีเมียร์ลีก ได้จัดหาผู้หญิงสองคนให้ไปรับกัญชาจากประเทศไทยและขนส่งกลับไปยังสหราชอาณาจักร เอ็มมานูเอล-โธมัส ที่มีอดีตสโมสรอยู่กับอาร์เซนอลและอิปสวิชทาวน์ในพรีเมียร์ลีก ได้จัดหาผู้หญิงสองคนให้ไปรับกัญชาจากประเทศไทยและขนส่งกลับไปยังสหราชอาณาจักร
สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า รัฐบาลไทยกำลังดำเนินการทำให้กัญชากลายเป็นยาเสพติดอีกครั้ง ส่งผลให้อุตสาหกรรมที่ประเมินว่า มีมูลค่าเกิน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วตั้งแต่กัญชาถูกถอดออกจากรายชื่อยาเสพติดของประเทศในปี 2022 ตกอยู่ในสภาวะไม่แน่นอน ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากพรรคภูมิใจไทย ผู้สนับสนุนการทำให้กัญชาถูกกฎหมาย ได้ถอนตัวจากรัฐบาลผสมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ของไทย จัดการกับข้อพิพาทเรื่องชายแดนกับกัมพูชาอย่างไม่เหมาะสม
รอยเตอร์สกล่าวว่า สามปีที่แล้ว ประเทศไทยกลายเป็นประเทศแรก ๆ ในเอเชียที่ทำให้การใช้กัญชาเพื่อการสันทนาการถูกกฎหมาย แต่ยังไม่มีกฎเกณฑ์ที่ครอบคลุมใด ๆ มาใช้ควบคุมภาคส่วนนี้ นับแต่นั้นมา ก็มีร้านค้าและธุรกิจที่ขายกัญชาเกิดขึ้นนับหมื่นแห่งทั่วประเทศไทย โดยหลายแห่งตั้งอยู่ในศูนย์กลางการท่องเที่ยวของประเทศ ก่อนหน้านี้ หอการค้าไทยประเมินว่า อุตสาหกรรมดังกล่าวซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ยา อาจมีมูลค่า 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2025
การผลักดันให้มีการดำเนินคดีอีกครั้งทำให้สมาชิกในอุตสาหกรรมกัญชาบางราย เช่น ปุณณทัต พุทธิวงศ์ ซึ่งทำงานที่ร้านจำหน่ายกัญชา Green House Thailand ในกรุงเทพฯ รู้สึกตกใจ เพราะนี่คือแหล่งรายได้หลักของเขา เขาเชื่อว่าร้านค้าหลายแห่งคงตกใจไม่ต่างกัน เพราะหลายแห่งลงทุนมหาศาลภาคส่วนกัญชาอาจเปลี่ยนแปลงเกษตรกรรม ยา และการท่องเที่ยวของไทยได้ แต่ความไม่แน่นอนและการกลับนโยบายได้ขัดขวางการเติบโตอย่างยั่งยืน โชควาน คิตตี้ โชปากา นักเคลื่อนไหวด้านกัญชา กล่าว