เมื่อความกตัญญูเป็นเครื่องมือควบคุมทางการเงิน ต้องรับภาระหนี้แทนแม่ กดดันให้ต้องรับผิดชอบหนี้ เข้าข่าย Financial Abuse การทารุณกรรมทางการเงิน หรือไม่
การทารุณกรรมทางการเงิน/การทำร้ายทางการเงิน (Financial Abuse) สามารถเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ เช่น เมื่อมีคนขัดขวางการเข้าถึงเงินของคุณ บงการการตัดสินใจทางการเงินของคุณ หรือ ใช้เงินของคุณโดยไม่ได้รับอนุญาต
การทารุณกรรมทางการเงินเป็นรูปแบบหนึ่งของความรุนแรงในครอบครัว และการใช้ความรุนแรงในบ้าน ผู้ที่ใช้วิธี การควบคุมเชิงบังคับขู่เข็ญ (Coercive Control) อาจใช้การทารุณกรรมทางการเงินเป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมนี้
การทารุณกรรมรูปแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงความสัมพันธ์ และอาจเกิดขึ้นพร้อมกับการใช้ความรุนแรงประเภทอื่น ๆ เช่น การทำร้ายร่างกาย การล่วงละเมิดทางเพศ และการทำร้ายทางอารมณ์
การถูกทารุณกรรมทางการเงิน อาจทำให้คุณรู้สึก เปราะบาง โดดเดี่ยว ซึมเศร้า และวิตกกังวล
การทารุณกรรมทางการเงินสามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ ผู้กระทำความรุนแรงอาจเป็นคู่รัก สมาชิกในครอบครัว ผู้ดูแล หรือเพื่อน การทารุณกรรมทางการเงินไม่เคยเป็นความผิดของคุณ
รูปแบบของ การทำร้ายทางการเงิน (Financial Abuse) นั้นมีหลายข้อ แต่สำหรับในหัวข้อ
"พฤติกรรมของแม่ที่ชอบสร้างหนี้และผลักภาระให้ลูกต้องตามใช้อย่างต่อเนื่อง"
การใช้ความรู้สึกผิดเป็นอาวุธ หรือ การพึ่งพาหรือเรียกร้องความช่วยเหลือมากเกินไป โดยไม่รับผิดชอบสถานการณ์ทางการเงินของตนเอง
สะท้อนถึงปัญหาทางจิตวิทยาและความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ซับซ้อน ซึ่งอาจเข้าข่ายรูปแบบการทำร้ายที่เรียกว่า Financial Abuse โดยมีลักษณะดังนี้
บังคับก่อหนี้: บังคับให้เหยื่อเซ็นชื่อในสัญญาเงินกู้, บัตรเครดิต, หรือใช้ชื่อเหยื่อในการทำธุรกรรมทางการเงินโดยที่เหยื่อไม่เต็มใจหรือไม่มีความรู้
สร้างหนี้ร่วม: ก่อหนี้ก้อนใหญ่ในบัญชีร่วมโดยไม่ปรึกษาหรือปิดบังข้อมูล
ขโมยตัวตน: ใช้ข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อในการขโมยหรือเปิดบัญชีใหม่
ยึดหรือขโมยทรัพย์สิน: เอาเงิน, ทรัพย์สมบัติ, หรือสิทธิประโยชน์ เช่น เงินบำนาญ หรือเงินมรดกไปโดยไม่ได้รับอนุญาต
ทำลายความมั่นคง: บังคับให้ขายบ้าน หรือทรัพย์สินที่ดินโดยขู่เข็ญ
การจำกัดความเป็นอิสระ: การที่ลูกต้องรับภาระหนี้ทำให้ลูกไม่มีอิสระทางการเงิน ต้องพึ่งพาและถูกควบคุมโดยแม่
การสร้างความรู้สึกผิดและหน้าที่: แม่มักใช้คำพูดหรืออ้างความกตัญญู เพื่อกดดันให้ลูกต้องรับผิดชอบหนี้สิน โดยไม่คำนึงถึงความมั่นคงในชีวิตของลูก
เป้าหมายสูงสุดคือ การแยกความมั่นคงทางการเงิน ของคุณออกจากปัญหาหนี้สินของแม่ให้เด็ดขาด เพื่อป้องกันความเสียหายในอนาคต
1. หยุดเป็นผู้ให้ท้าย การปฏิเสธอย่างชัดเจนและการจัดการความรู้สึกผิด
คุณจำเป็นต้อง "ปฏิเสธ" ที่จะช่วยจ่ายหนี้ที่ไม่สมเหตุสมผล แม้จะถูกกดดันด้วยความรู้สึกผิด หรือ การอ้างความกตัญญู โดย "กำหนดจุดสิ้นสุด" คือแจ้งให้แม่ทราบอย่างชัดเจว่าจะไม่รับผิดชอบหนี้สินใหม่ใด ๆ อีกต่อไป และกำหนดวงเงินช่วยเหลือสูงสุด (ถ้ามี) ที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของคุณ
"คงขอบเขตไว้" เมื่อแม่เผชิญหน้ากับผลของการกระทำของตัวเอง (เช่น ถูกทวงหนี้) คุณต้องใจแข็งไม่กลับไปช่วยเหลือ เพื่อให้แม่ต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตนเองเอง
2. สร้างขอบเขตทางการเงินที่แข็งแกร่ง
โดยแยกบัญชีทั้งหมด ห้ามมีบัญชีร่วม ห้ามเซ็นค้ำประกัน ห้ามมอบอำนาจทางการเงิน และห้ามเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวทางการเงิน รหัสบัตร เลขบัญชี โดยเด็ดขาด และตรวจสอบ Credit Bureau เป็นประจำ เพื่อให้แน่ใจว่าแม่ไม่ได้แอบนำชื่อหรือข้อมูลของคุณไปใช้ในการก่อหนี้สินใหม่
จัดการการเงินส่วนตัวเพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตของคุณ เช่น เก็บออม, ลงทุน, สร้างกองทุนฉุกเฉิน ก่อนจะพิจารณาช่วยเหลือใคร
3. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินและทางกฎหมาย
โดยปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินเพื่อวางแผนการเงินส่วนตัวอย่างเข้มงวด และจำกัดความเสียหายจากหนี้เก่าให้ได้มากที่สุด
แล้วหากหนี้สินถูกสร้างขึ้นในชื่อของคุณ หรือคุณถูกบังคับให้เซ็นเอกสารใด ๆ คุณต้องปรึกษาทนายความเพื่อหาทางออกทางกฎหมายและดำเนินการยกเลิกความรับผิดชอบในหนี้นั้น
อ้างอิงข้อมูล : moneysmart.gov.au. , addictioncenter , hopefulpanda , deborahbyrnepsychologyservices , intendify
Advertisement