เมื่อโลกเปลี่ยนไปมากมายหลายมิติจากยุคที่เศรษฐกิจไทยเคยเจริญเติบโตดี แล้วประเทศไทยต้องเดินไปทางไหน ต้องปรับ ต้องเปลี่ยน ต้องรื้อ ต้องสร้างอะไรบ้าง ?
3 ผู้นำจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เสนอแนวทางว่าไทยต้อง ‘Unlocking และ Transform’ ซึ่งรัฐบาลต้องทำ ทั้งรัฐบาลนี้และรัฐบาลในอนาคต
โดยผู้นำจาก กกร. ได้เสนอแนะแนวทางดังกล่าวบนเวทีเสวนา ‘พลิกเกมสู้เศรษฐกิจโลกป่วน’ ภายในงานสัมมนาเศรษฐกิจไทยประจำปี 2568 ในหัวข้อ ‘The Future Direction of Thailand : เมื่อโลกเปลี่ยน…ประเทศไทยไปทางไหน?’ จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 ณ โรงละครอักษรา คิงเพาเวอร์ รางน้ำ
ก่อนจะเสนอแนะเรื่องแผนและแนวทางต่างๆ สำหรับอนาคต ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยถึงคาดการณ์เศรษฐกิจไทยว่า กกร.ได้ประมาณการการเติบโตของจีดีพีปี 2568 ไว้ที่ 1.8%-2.2% แต่เนื่องจากประเมินว่าการส่งออก ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย อาจจะดีขึ้นกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโต 2.5% โดยมองว่าอาจจะเติบตได้ถึง 5% ซึ่งจะส่งผลให้จีดีพีเติบโตขึ้นได้มากกว่าที่คาดไว้ ดังนั้น จึงจะมีการปรับคาดการณ์ในเดือนพฤศจิกายนนี้
นอกจากนั้น ดร.พจน์กล่าวถึงสถานการณ์ภาคท่องเที่ยวว่าเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ณ สิ้นเดือนสองหาคมยังต่ำกว่าปีก่อนหน้า จึงเป็นไปได้ว่าทั้งปีตัวเลขอาจติดลบ และจะส่งผลต่อจีดีพี และ ดร.พจน์แนะด้วยว่า นายกฯควรไปเยือนประเทศจีนเพื่อดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมาช่วยให้ตัวเลขการท่องเที่ยวเป็นบวก
เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวเสริมในเรื่องการท่องเที่ยวว่า รายได้ภาคการท่องเที่ยวของไทยไม่ถึงเป้าเพราะนักท่องเที่ยวเข้ามาน้อย เพราะเหตุผลหนึ่งคือ ค่าเงินบาทแข็งเกินไป สวนทางกับประเทศญี่ปุ่นที่ค่าเงินเยนอ่อนหนุนการท่องเที่ยว ดังนั้น เรื่องค่าเงินยังเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องติดตามดูแลต่อไป
ส่วนการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2569 นั้น ดร.พจน์บอกว่า ยังประมาณการได้ยาก เนื่องจากมีปัจจัยและเงื่อนไขจำนวนมาก ทั้งข้อตกลงทางภาษีศุลกากรกับสหรัฐที่ยังไม่ได้ลงนาม ขณะที่ข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป แม้คาดว่าจะสามารถเจรจาเสร็จสิ้นภายในปีนี้หรือต้นปีหน้า แต่ต้องรอกระบวนการพิจารณาของสภาทั้งสองฝ่าย ซึ่งไทยจะมีการยุบสภา จึงต้องรอหลังเลือกตั้ง
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า แม้ว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาล 4 เดือน แต่ข้อเสนอแนะของภาคเอกชนและนโยบายของรัฐบาลไม่ควรจะเป็นแผนระยะ 4 เดือน แต่ควรเป็นแผนที่รัฐบาลไทยควรทำต่อไป ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลพรรคใดก็ตาม ซึ่งแนวทางที่ภาคเอกชนมองก็คือ รัฐบาลต้องเร่ง Unlocking และ Transform ให้ได้ มิฉะนั้น คนไทยจะอยู่ลำบาก เพราะทั้งโลกเปลี่ยนผ่านครั้งยิ่งใหญ่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) การค้า ภูมิรัฐศาสตร์ พลังงาน ซึ่งความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้รีเซตกติกาของโลก
“ถ้าเราจะอยู่ในเกมได้ เราต้องปลดล็อกศักยภาพประเทศไทยให้มีศักยภาพที่สามารถแข่งขันได้ ให้ตามทันโลกใหม่ เพราะไทยไม่ได้ปรับเปลี่ยนมานานแล้ว”
ดร.พจน์ชี้ว่า รัฐบาลต้องปลดล็อกกฎระเบียบที่ล้าหลังและซ้ำซ้อน ปลดล็อกกำลังซื้อประชาชนและธุรกิจฐานราก ปลดล็อกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ พร้อมทั้งมีระบบการันตีให้ SME เข้าถึงทุนได้ คืนสภาพคล่องให้การค้าและการเกษตร ปลดล็อกการค้าระหว่างประเทศ เร่งเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ให้สำเร็จ โดยเฉพาะ FTA ไทย-สหภาพยุโรป
อีกเรื่องที่ ดร.พจน์ชี้ว่าเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลต้องทำ คือ การสร้างระบบเศรษฐกิจที่โปร่งใสและปราศจากคอร์รัปชัน ซึ่ง กกร.ได้ประกาศความร่วมมือกับสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) หรือ TIJ และหลายๆ องค์กรแล้ว ในการดำเนินการอย่างเข้มข้นเพื่อจะสร้างจิตสำนึกในการต่อต้านคอร์รัปชัน
“คอร์รัปชันเป็นมะเร็งร้ายที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเสียหายมากๆ ถ้าเราแก้เรื่องนี้ไม่ได้ การลงทุนจากต่างประเทศจะมีปัญหา การขับเคลื่อนของคนไทยเองก็จะมีปัญหา … เราอยากให้รัฐบาลประกาศ ‘Zero Corruption’ เป็นนโยบาย ผมอยากฝากพรรคการเมืองที่จะลงเลือกตั้งว่าถ้าพรรคไหนประกาศ ‘Zero Corruption’ เป็นนโยบาย ผมเชื่อว่าจะได้รับคะแนนนินยมจากภาคประชาชนมาก เพราะคอร์รัปชันเป็นมะเร็งร้ายของเราจริงๆ” ประธานกรรมการหอการค้าไทยกล่าว
เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ภาคธุรกิจในสภาอุตฯตระหนักกันดีว่าถ้ายังทำธุรกิจแบบเดิมจะไม่รอด จึงได้ประกาศทรานสฟอร์มไปสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีมูลค่าสูง ซึ่งมีหลายเรื่องที่ต้องทรานสฟอร์ม ทั้งการเพิ่มพูนทักษะ (upskill) และพัฒนาทักษะใหม่ (reskill) ให้แรงงาน เพื่อให้สามารถทำงานในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ได้, การทรานสฟอร์มการผลิตจากการรับจ้างผลิตสินค้าตามการออกแบบของลูกค้า (OEM) ไปเป็นการผลิตที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้า (ODM) หรืออย่างน้อยต้องมีส่วนร่วมในการออกแบบกับลูกค้า และเป้าหมายสูงสุดคือการมีแบรนด์ของตนเอง (OBM)
“ต้องปรับโครงสร้างวิธีคิดกันใหม่หมด” ประธานสภาอุตฯกล่าว
ด้วยเป้าหมายการทรานสฟอร์มดังกล่าว ประธานสภาอุตฯฉายภาพว่า จะขับเคลื่อนด้วยนโยบาย ‘4 Go’ ได้แก่
1. Go Digital and AI ต้องเร่งรีสกิลและอัพสกิลแรงงาน
2. Go Innovation ต้องหาโมเดลธุรกิจใหม่ที่มีนวัตกรรม ถ้ายังทำธุรกิจแบบเดิมที่รายได้ต่ำและกำไรบาง ไม่เพียงพอที่จะทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง ปัจจุบันรายได้เฉลี่ยต่อหัวของไทยอยู่ที่ 7,500 ดอลลาร์ต่อหัวต่อปี ยังเหลืออีกครึ่งทางกว่าจะถึง 13,000 ดอลลาร์ต่อหัวต่อปี ที่เป็นเกณฑ์หลุดพ้นประเทศรายได้ปานกลาง
3. Go Global ต้องแสวงหาตลาดใหม่ ต้องเร่งทำ FTA
4. Go Green โลกมีกติกาใหม่ๆ ด้านสิ่งแวดล้อม การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งไทยตั้งเป้าหมายไว้ในปี 2050 เพราะฉะนั้น การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมต้องสอดคล้องและสนับสนุนเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม
ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 คาดว่าจะโตได้ 0.6% จากเดิมที่คาดว่าจะโต 0.3% จะได้การกระตุ้นจากรัฐบาลให้โตได้อีก 0.3% มองไป 5 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจของประเทศไทยได้รับการประมาณการจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ว่าจะโตประมาณ 2.7% ขณะที่ค่าเฉลี่ยของอาเซียนจะโตประมาณ 4.5%
ประธานสมาคมธนาคารไทยชี้ว่า สาเหตุที่เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าประเทศอื่นมากเพราะไทยมี 3 ปัญหาหลักๆ คือ ปัญหาเชิงโครงสร้าง ปัญหาผลิตภาพ (productivity) และปัญหาประสิทธิภาพของภาครัฐ ปัญหาเหล่านี้เป็นสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการลงทุนที่ไม่ดี ทำให้ไม่มีใครอยากลงทุนในประเทศไทย แม้แต่บริษัทไทยเอง
นายกสมาคมธนาคารไทยบอกอีกว่า การที่ไม่มีใครอยากลงทุนในประเทศไทยนั้นสะท้อนให้เห็นในหลายๆ ตัวเลข หนึ่งคือ บริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 65% มีราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (Price to Book) ต่ำกว่า 1 สองคือ มีเงินในประเทศไหลออกไปลงทุนต่างประเทศผ่าน FIF Fund (Foreign Investment Fund) สามคือ บริษัทไทยก็ไปลงทุนต่างประเทศเป็นมูลค่าหลายล้านล้านบาท
นอกจากนั้น นายกสมาคมธนาคารไทยบอกว่า ไทยมีสภาพคล่อง โดยปัจจุบันระบบธนาคารพาณิชย์มีสภาพคล่อง ปล่อยสินเชื่อผ่านตลาด Repo กับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และซื้อพันธบัตรระยะสั้นของ ธปท.เฉลี่ย 5 ล้านล้านบาท แต่ปัญหาคือสภาพคล่องนั้นไม่ไหลไปหล่อเลี้ยงทั่วทั้งระบบ ไม่ไปถึง SME คนตัวเล็ก ซึ่ง SME มีส่วนจ้างงานคนในประเทศคิดเป็น 70% ของการจ้างงานทั้งหมด
ผยงมองว่า ท่ามกลางภาวะหนี้ครัวเรือนสูง ประชากรอายุมาก ถ้าไทยจะพลิกฟื้นออกจากกับดัก ไทยต้องพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยี และพัฒนาโดยอิงไปกับเรื่องความยั่งยืน
ผยงแนะว่า การดำเนินนโยบายและการจะแก้ปัญหาต่างๆ นั้น อันดับแรกรัฐบาลต้องเร่งจัดลำดับความสำคัญของประเทศ แล้วดำเนินการเรื่องที่สำคัญที่สุดก่อน โดยควรอยู่บนพื้นฐานความโปร่งใส ตัดสินใจด้วยข้อมูล มีเป้าหมายชัดเจน
นอกจากนั้น ผยงบอกว่า กกร.เริ่มพยายามจะเปิดเผยดัชนี 3 ดัชนี ได้แก่ ตัวเลขเศรษฐกิจนอกระบบ ตัวเลขหนี้นอกระบบ และดัชนีคอร์รัปชัน เพื่อเป็นแนวทางให้ทุกภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจ เป็นข้อมูลสำหรับการถกเถียงที่อยู่บนข้อเท็จจริงและเป็นไปตามหลักที่ควรจะเป็น เพื่อจะนำไปสู่การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ซึ่งรวมถึงการแก้กฎหมาย ทั้งนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุด การดำเนินการต่างๆ ต้องอยู่บนหลังนิติธรรม และความมีประสิทธิภาพของรัฐ