Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
สหรัฐฯ ส่องโซเชียลผู้ขอวีซ่านักเรียน อ้างคัดกรองทัศนคติที่เป็นปฏิปักษ์
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

สหรัฐฯ ส่องโซเชียลผู้ขอวีซ่านักเรียน อ้างคัดกรองทัศนคติที่เป็นปฏิปักษ์

23 มิ.ย. 68
17:09 น.
แชร์

สถานเอกอัครรราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์วันนี้ (23 มิถุนายน 2568) ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ของสถานทูต ขอให้ผู้สมัครวีซ่าชั่วคราวประเภท F, M และ J ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวบัญชีโซเชียลมีเดียทั้งหมดเป็นแบบสาธารณะ ทั้งนี้ วีซ่า 3 ประเภทดังกล่าว จัดอยู่ในกลุ่มของ วีซ่าเพื่อการศึกษาและการแลกเปลี่ยน 

สถานเอกอัครราชทูตฯ แถลงว่า การขอให้ตั้งค่าโซเชียลมีเดียเป็นสาธารณะทั้งหมดนั้น จำเป็นต่อการยืนยันตัวตนและเป็นไปเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติในการเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาภายใต้กฎหมายของสหรัฐฯ โดยข้อกำหนดนี้มีผลบังคับใช้ทันที หากสถานเอกอัครราชทูตไม่สามารถเข้าถึงบัญชีโซเชียลมีเดียของผู้สมัครได้ มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกปฏิเสธการให้วีซ่าได้ เจ้าหน้าที่กงสุลสหรัฐฯ ได้รับคำสั่งให้มองหา “ความเป็นศัตรูต่อรัฐและประชาชนสหรัฐฯ” แต่ไม่มีรายละเอียดชัดเจนว่าหมายถึงอะไร

ข้อกำหนดนี้เป็นไปตามประกาศของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่ออกมาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ที่กล่าวว่า จะกลับมาดำเนินการพิจารณาใบสมัครวีซ่าสำหรับนักเรียนและนักวิชาการต่างชาติอีกครั้ง หลังปิดรับการพิจารณาไปตั้งแต่ปลายเดือนพฆษภาคม แต่เพิ่มกระบวนการตรวจสอบบัญชีโซเชียลมีเดียของผู้สมัครเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการด้วย

ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่ผู้ขอวีซ่าจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว ก่อนหน้านี้ สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ในหลายประเทศได้ดำเนินการตามข้อกำหนดใหม่ เช่น สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ในเม็กซิโก มีการดำเนินงานทำนองเดียวกัน โดยเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 ได้ออกประกาศว่า ผู้สมัครวีซ่าชั่วคราวประเภท F, M และ J ต้องให้รายชื่อโซเชียลมีเดียทั้งหมดของผู้สมัคร และตั้งค่าบัญชีทั้งหมดเป็นสาธารณะ เช่นเดียวกันอุเซเบกิสถาน

คำสั่งส่องโซเชียล กระทบใครบ้าง?

เบื้องต้น คำสั่งดังกล่าวมีผลต่อผู้สมัครทั่วโลกที่ต้องการวีซ่าชั่วคราวประเภท F, M และ J สำหรับการเข้าสหรัฐอเมริกา จัดอยู่ในกลุ่มของ วีซ่าเพื่อการศึกษาและการแลกเปลี่ยน ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันเล็กน้อย ดังนี้

  • วีซ่าประเภท F (F-1 Student Visa):

สำหรับนักเรียนที่ต้องการเข้าศึกษาต่อในสถานศึกษาทั่วไปในสหรัฐอเมริกา เช่น โรงเรียนประถม มัธยม มหาวิทยาลัย วิทยาลัย หรือสถาบันสอนภาษาอังกฤษ ซึ่งหลักสูตรที่เข้าเรียนต้องเป็นหลักสูตรเต็มเวลา (full-time) และต้องได้รับการรับรองจาก Student and Exchange Visitor Program (SEVP)

  • วีซ่าประเภท M (M-1 Vocational Student Visa):

สำหรับนักเรียนที่ต้องการเข้าศึกษาในหลักสูตรสายอาชีพ หรือหลักสูตรที่ไม่ใช่เชิงวิชาการ (non-academic) ที่สถาบันวิชาชีพในสหรัฐอเมริกา คล้ายกับวีซ่า F-1 แต่เน้นไปที่การเรียนสายอาชีพ เช่น หลักสูตรการทำอาหาร, ช่างเทคนิค เป็นต้น

  • วีซ่าประเภท J (J-1 Exchange Visitor Visa):

สำหรับบุคคลที่เข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ความรู้ และทักษะ ไม่ว่าจะเป็น นักเรียน/นักศึกษาแลกเปลี่ยน (Exchange Students), ผู้ช่วยสอนภาษา (Au Pair), โครงการ Work & Travel, อาจารย์/นักวิจัย (Professors/Research Scholars), ผู้ฝึกงาน (Interns), แพทย์/ผู้ฝึกอบรมทางการแพทย์

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กงสุลจะตรวจสอบกิจกรรมและโพสต์บนโซเชียลมีเดียสาธารณะของผู้สมัคร เพื่อมองหาข้อบ่งชี้ใดๆ ที่อาจแสดงถึงความเป็นปรปักษ์ต่อพลเมือง วัฒนธรรม รัฐบาล สถาบัน หรือหลักการพื้นฐานของสหรัฐอเมริกา ผู้สมัครจะถูกขอให้ระบุชื่อผู้ใช้ (usernames หรือ handles) ของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เคยใช้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ในแบบฟอร์ม DS-160 (สำหรับวีซ่าชั่วคราว) หรือ DS-260 (สำหรับวีซ่าถาวร) อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้ขอรหัสผ่าน และเจ้าหน้าที่กงสุลจะตรวจสอบเฉพาะสิ่งที่เปิดเผยต่อสาธารณะเท่านั้น และการตั้งค่าบัญชีเป็น "ส่วนตัว" หรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลอาจเพิ่มความเสี่ยงที่วีซ่าจะถูกปฏิเสธ

กระแสวิจารณ์ ล่วงเกินความเป็นส่วนตัวไปไหม?

สื่อและนักวิจารณ์หลายรายมองว่า นโยบายนี้เป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวอย่างรุนแรง และตั้งคำถามถึงขอบเขตที่รัฐบาลควรเข้าไปตรวจสอบชีวิตส่วนตัวของบุคคล มีความกังวลว่ากฎนี้อาจสร้าง "ผลกระทบที่ทำให้คนไม่กล้าแสดงความคิดเห็น" (chilling effect) โดยนักศึกษาอาจลังเลที่จะโพสต์หรือแสดงความคิดเห็นทางการเมือง หรือเกี่ยวกับประเด็นสังคมที่อ่อนไหว เพราะกลัวว่าจะส่งผลต่อการขอวีซ่า

นอกจากนี้ หลายฝ่ายวิจารณ์ว่าคำนิยามของ "ทัศนคติที่เป็นปฏิปักษ์" นั้นกว้างและคลุมเครือเกินไป ซึ่งอาจทำให้เจ้าหน้าที่กงสุลมีอำนาจในการตีความและตัดสินใจมากเกินไป และอาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ย้ำว่าการได้รับวีซ่าเป็น "สิทธิพิเศษ ไม่ใช่สิทธิ" (NDTV) ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลมีสิทธิที่จะกำหนดเงื่อนไขในการพิจารณาดังกล่าว


แชร์
สหรัฐฯ ส่องโซเชียลผู้ขอวีซ่านักเรียน อ้างคัดกรองทัศนคติที่เป็นปฏิปักษ์