
สถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาบีบให้ประชาชนกว่าครึ่งล้านจากทั้งสองประเทศต้องพลัดถิ่น อพยพหนีออกจากพื้นที่พักอาศัยทั่วไปไปอาศัยที่อื่น ส่วนหนึ่งอาศัยอยู่ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว ซึ่งรัฐบาลจัดเตรียมไว้ให้
ในขณะที่การสู้รบชายแดนดำเนินต่อไป ไม่ว่าเชื้อเพลิงความขัดแย้งจะมาจากยูนิฟอร์มสีใดก็ตาม ประชาชนคือผู้ได้รับผลกระทบอย่างหนักหนาที่สุด และควรได้รับการเอาใจใส่ในสวัสดิภาพทั้งทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ “ศูนย์พักพิงชั่วคราว” จึงควรเป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการบำรุงจิตใจของผู้ประสบภัยในช่วงนี้
อันที่จริงแล้ว ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชาไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ผลักคนไทยให้ต้องอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิง ภัยธรรมชาติก็เป็นสาเหตุสำคัญที่บีบให้คนทั่วโลกต้องละทิ้งที่อยู่อาศัยมากขึ้น
ตัวอย่างล่าสุดที่ปรากฏในไทยคือ น้ำท่วมหาดใหญ่และพื้นที่ภาคใต้ ที่ทำให้มีการเปิดศูนย์พักพิงอย่างน้อย 5 แห่ง และมีผู้อาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงกว่า 8,750 คน
แล้วจะทำอย่างไรให้ศูนย์พักพิงเป็นพื้นที่ปลอดภัยทางกายใจให้ผู้อพยพที่ประสบเหตุการณ์สะเทือนใจมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งหรือภัยธรรมชาติก็ตาม Spotlight มีโอกาสพูดคุยกับนักฉุกเฉินการแพทย์ คุณชัพวิชญ์ ศิลารักษ์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ถึง “หลักการพื้นฐาน” ในการสร้างศูนย์พักพิงที่ดี และได้สรุปข้อมูลจากการสัมภาษณ์มาเรียบเรียงใหม่ให้เข้ากับสถานการณ์ดังนี้
ข้อนี้ต้องพิจารณาประกอบกับภัยที่เกิดขึ้นด้วย และเลือกสถานที่ให้ห่างจากภัยนั้นมากที่สุด เช่น สึนามิ ควรอยู่ห่างจากชายหาด น้ำท่วมควรเป็นที่สูง ความขัดแย้งชายแดนอาจห่างจากชายแดนเพื่อไม่ให้ต้องอพยพซ้ำ ซึ่งอาจส่งผลต่อผู้อพยพในทางลบ
นอกจากนี้ สถานที่ต้องมีรั้วรอบขอบชิด เพื่อให้สามารถจัดการพื้นที่และดูแลความเรียบร้อยได้ มีโครงสร้างมั่นคงแข็งแรง เผื่อกรณีเกิดภัยพิบัติซ้ำ
นอกจากนี้ ควรเป็นสถานที่ที่คนในพื้นที่รู้จักเป็นอย่างดี กรณีเดินทางไปเอง หรือเพื่อการเป็นศูนย์รวมความช่วยเหลือ เช่น วัด โรงเรียน มัสยิด หรืออาคารรวมตัวชุมชน
สถานที่ควรมีสาธารณูปโภค น้ำประปา ไฟฟ้า ห้องน้ำ รองรับผู้อพยพอย่างเพียงพอ มีขนาดสถานที่เหมาะสมกับจำนวนประชากร โดยขนาดที่คุณชัพวิชญ์แนะนำสำหรับคนร่างกายปกติแข็งแรงคือ ความกว้าง 1 ตารางเมตร และความสูง 2.5 เมตร เป็นพื้นที่พักผ่อนและใช้สอย ในกรณีคนป่วยสามารถขยายเป็น 2–3 ตารางเมตร
สาธารณูปโภคที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณชัพวิชญ์คือไฟฟ้า เพราะนอกจากการใช้ไฟฟ้าแล้ว ยังเป็นแหล่งพลังงานให้อุปกรณ์อื่น เช่น มือถือสำหรับติดต่อข่าวสาร รับข้อมูล ใช้กับเครื่องปั่นน้ำ และเลี้ยงโครงข่ายโทรศัพท์ สำหรับผู้ป่วยติดเตียงบางรายอาจจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่พึ่งพิงไฟฟ้าอีกด้วย
สิ่งที่ต้องใช้ความสำคัญมากอีกข้อคือการลงทะเบียน ผู้อยู่อาศัยทุกคนควรลงทะเบียนเพื่อให้การบริหารงานภายในศูนย์เป็นไปอย่างง่ายดาย ข้อมูลพื้นฐาน เช่น สัดส่วนกลุ่มอายุ เพศ ความพิการ โรคประจำตัว จะมีผลต่อการบริการทรัพยากรและพื้นที่
คุณชัพวิชญ์แนะนำว่า อาจใช้ระบบให้คนร่างกายแข็งแรงอาศัยอยู่ร่วมกับคนชราหรือคนพิการ เพื่อให้เกิดการช่วยเหลือกันภายในศูนย์
และแน่นอน การมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรวจตราความเรียบร้อยก็สำคัญ ในสถานการณ์ความวุ่นวาย ประชาชนอาจเกิดความเครียด ความกดดัน นำไปสู่การทะเลาะวิวาท หรือการอยู่ร่วมกันของคนจำนวนมากอาจทำให้เกิดโจรกรรมหรืออาชญากรรม ส่วนนี้ต้องอาศัยทั้งเจ้าหน้าที่เฉพาะ การลงทะเบียน และการบริหารพื้นที่เข้าร่วม
คนจำนวนมากอาศัยรวมกัน ปัญหาความสะอาดคือสิ่งที่ต้องให้ความสนใจ หากพื้นที่ไม่เหมาะสมตั้งแต่ต้น การจัดการสิ่งปฏิกูลอาจทำไม่เหมาะสม ทำให้เกิดแหล่งเชื้อโรคและอาจเกิดโรคระบาดตามมา
ในกรณีมีผู้เสียชีวิต ควรแยกการเก็บร่างผู้เสียชีวิตออกจากแหล่งที่พักอาศัย เพื่อป้องกันการกระจายตัวของเชื้อโรค ควรมีถุงห่อศพอย่างเหมาะสม และเมื่อระบุตัวตนได้ อาจเผาทันทีหรือจัดการตามหลักศาสนา เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรค
คนในศูนย์พักพิงมักไม่อยากมาอยู่ด้วยความเต็มใจ สุขภาพจิตจึงเป็นสิ่งที่น่ากังวลไม่น้อย คุณชัพวิชญ์แนะนำว่าควรมีการจัดกิจกรรมสันทนาการเพื่อชุบชูจิตใจของสมาชิก อาจเป็นกิจกรรมศิลปะ พับกระดาษ ซึ่งได้รับความนิยมในญี่ปุ่น หรือการละเล่น ร้องรำดนตรี
การมอบหน้าที่ให้คนในศูนย์ช่วยทำ เช่น การจัดสถานที่ ยกของ หรืออื่น ๆ นอกจากจะได้แรงงานเพิ่ม ยังช่วยฆ่าเวลาให้แก่สมาชิก ลดความคิดฟุ้งซ่าน และอาจลดการก่ออาชญากรรมได้
สถานที่ที่เหมาะสมจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยแผนการเตรียมการที่ดี วางแผนอพยพสำหรับภัยประเภทต่าง ๆ เพื่อให้เลือกสถานที่ให้เหมาะสม ตรวจสอบความเหมาะสม และปรับปรุงแผนอย่างสม่ำเสมอ
ควรบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงาน อาศัยโครงสร้างประชากรศาสตร์วางแผนให้เหมาะสมกับพื้นที่ แบ่งหน้าที่แต่ละหน่วยงานให้สอดคล้องกัน และที่สำคัญคือการสื่อสารให้ประชาชนรับรู้
อาจจัดอบรมความรู้เกี่ยวกับแผนอพยพของพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนทราบความเสี่ยงในพื้นที่ตน รู้ว่าต้องไปที่ไหนเมื่อมีภัย รู้วิธีเดินทาง และสิ่งที่ต้องนำติดตัว พร้อมเตรียมระบบเตือนภัยที่เชื่อถือได้และทั่วถึง มีการซักซ้อมอย่างเหมาะสม