
รายงานของสำนักงานพลังงานสากล หรือ IEA เปิดเผยเมื่อวันพุธที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า ความต้องการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของโลกใบนี้อาจจะเพิ่มขึ้นไปจนถึงปี 2050 หรืออีก 25 ปีข้างหน้า ขัดแย้งกับเป้าหมายที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานสะอาด และค่อย ๆ บอกลากับพลังงานฟอสซิลแบบเดิม
IEA ระบุในรายงานคาดการณ์ประจำปีว่า ดูเหมือนว่าโลกของเราจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่จะควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ ไม่ให้เกิน 1.5 องซาเซลเซียส เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
ทั้งนี้ IEA ซึ่งทำหน้าที่กำกับดูแลความมั่นคงด้านพลังงานโลก ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากสหรัฐฯ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เรียกร้องให้บริษัทสัญชาติอเมริกันขยายการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
ก่อนหน้านี้ ในช่วงรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน IEA คาดการณ์ว่า ความต้องการน้ำมันโลกน่าจะถึงจุดพีคสูงสุดในทศวรรษนี้ และระบุว่า ถ้าหากว่าโลกต้องการบรรลุเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 ประเทศต่าง ๆ ก็ควรยุติการลงทุนในโครงการน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและถ่านหินใหม่ได้แล้ว
ในรายงาน World Energy Outlook ที่ได้รับการเผยแพร่ล่าสุด IEA คาดการณ์ว่า ภายใต้ฉากทัศน์นโยบายในปัจจุบัน ความต้องการน้ำมันจะแตะจุดสูงสุดคือ 113 ล้านบาร์เรลต่อวันในช่วงปี 2050 หรือเพิ่มขึ้นราว 13 เปอร์เซ็นต์จากการในปี 2024
ฉากทัศน์ดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบัน และไม่ได้มีเป้าหมายที่จะบรรลุเป้าหมายด้านสภาพอากาศ โดย IEA เคยใช้ฉากทัศน์เช่นนี้มาก่อนในปี 2019 ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้ฉากทัศน์ที่เป็นไปตามนโยบายเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดในเวลาต่อมา
เฟธ ไบรอล หัวหน้า IEA เปิดเผยว่า การคาดการณ์ด้านพลังงานล่าสุดถูกปรับปรุงใหม่ เพื่อสะท้อนถึงแนวทางที่แตกต่างกันของรัฐบาลแต่ละประเทศในการจัดการพลังงาน
อย่างไรก็ตาม องค์กรกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) ได้ออกมาโต้แย้งการคาดการณ์เรื่อง “จุดสูงสุดของความต้องการใช้น้ำมัน” หรือ Peak Oil Demand มาโดยตลอด โดยระบุผ่านเว็บไซต์ของ OPEC เมื่อวันพุธว่า หวังว่าโลกได้ผ่านพ้นจุดสูงสุดของความเข้าใจผิดเกี่ยวกับแนวคิด ‘ความต้องการใช้น้ำมันสูงสุด’ ไปแล้ว”
อย่างไรก็ตาม IEA ย้ำว่าแบบจำลองสถานการณ์ของหน่วยงานนี้ ไม่ใช่การพยากรณ์อนาคต แต่เป็นการ “สำรวจความเป็นไปได้” ภายใต้สมมติฐานและเงื่อนไขที่หลากหลายเท่านั้น