‘Sustainable Living’ (การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน) หรือวิถีชีวิตที่พยายามลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของโลก ลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นภาพสวยงานที่หลายๆ คนอยากมี แต่การจะใช้ชีวิตแบบ Sustainable Living ได้นั้น หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สุดคือ ที่อยู่อาศัยของเราจะต้องเอื้อต่อการใช้ชีวิตแบบนั้น
แล้วเราต้องอาศัยอยู่ในบ้านที่หน้าตาเป็นแบบไหน จึงจะมีวิถีชีวิตแบบ Sustainable Living ได้ แค่ติดโซลาร์เซลล์-ลดการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานฟอสซิลพอไหม หรือต้องมีอะไรอีกบ้าง ?
คำถามนี้ได้ผู้มีประสบการณ์จริงในการสร้างบ้านตาม ‘มาตรฐานบ้านสีเขียว’ มาแชร์สูตรกันแบบไม่หวง บนเวทีเสวนา ‘Sustainable Living ยกระดับที่อยู่อาศัยด้วยมาตรฐานบ้านสีเขียว’ ในงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) โซน SX Talk Stage เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา
ผู้มีประสบการณ์จริงที่ว่านั้นคือ สมบูรณ์ วศินชัชวาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน (CFO) และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และสรวิศ อังสุวรังษี Senior Sustainability Consultant จาก SCG Building and Living Care Consulting ตัวแทนจากสององค์กรที่ร่วมมือกันรังสรรค์โครงการ ‘THE GRAND Riverfront ราชพฤกษ์-พระราม 5’ ให้คว้ามาตรฐาน LEED for Homes (v4.1 Residential Single Family) ระดับ Gold หรือ ‘บ้านเดี่ยวต้นแบบแห่งความยั่งยืน’ จาก U.S. Green Building Council (USGBC) เป็นที่แรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สบทบด้วย ผศ.ดร.สรนาถ สินอุไรพันธ์ หัวหน้าศูนย์การออกแบบสิ่งแวดล้อมเพื่อสุขภาวะ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่มาชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของ ‘ที่อยู่อาศัย’ ในฐานะปัจจัยสำคัญในการสร้างสุขภาวะ และพยายามผลักดันการสร้างสุขภาวะในแคมป์คนงานก่อสร้างด้วย
ผศ.ดร.สรนาถ สินอุไรพันธ์ หัวหน้าศูนย์การออกแบบสิ่งแวดล้อมเพื่อสุขภาวะ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวถึงความสำคัญของที่อยู่อาศัยว่า ที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ Sustainable Living เนื่องจาก ‘ที่อยู่อาศัย’ ซึ่งเป็นหนึ่งใน ‘ปัจจัยกำหนดสุขภาพ’ (Social Determinants of Health) และเกี่ยวเนื่องกับปัจจัยกำหนดสุขภาพปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น สุขอนามัย การให้บริการสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และการศึกษา
ผศ.ดร.สรนาถอธิบายอีกว่า ที่อยู่อาศัยส่งผลต่อความมั่นคง ความปลอดภัย ทั้งทางกายภาพและทางจิตใจ นำไปสู่ความมั่นคงทางครอบครัวและทางเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้น บ้านหรือที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่สุขภาวะองค์รวมและการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน
แม้ว่าในปัจจุบันมีมาตรฐานการก่อสร้างที่อยู่อาศัยเพื่อสุขภาวะจำนวนมาก ซึ่งแต่ละมาตรฐานอาจมีตัวชี้วัดที่แตกต่างกันบ้าง แต่ ผศ.ดร.สรนาถบอกว่า มาตรฐานต่างๆ นั้นมีประเด็นร่วมกันหลายอย่าง คือ คุณภาพอากาศ แสงสว่าง ความปลอดภัย ความสวยงาม และความเหมาะสมของสภาพแวดล้อม โดยความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมนั้นเป็นปัจจัยสำคัญและต้องตีความให้ดี เพราะประกอบด้วยหลายปัจจัยทั้งทางกายภาพและทางจิตใจ เช่น คุณภาพวัสดุ ระยะระหว่างพื้นถึงฝ้า และขนาดพื้นที่ที่เหมาะสมต่อคน ส่วนปัจจัยที่สำคัญรองลงมาคือ ความสวยงาม ความเป็นระเบียบ และการเข้าถึงพื้นที่สีเขียว
นอกจากนั้น ผศ.ดร.สรนาถชี้ให้เห็นอีกว่า มีบทความวิชาการที่พยายามศึกษาลักษณะทางกายภาพที่ส่งผลต่อสุขภาวะของผู้อยู่อาศัย ไม่เพียงแต่สุขภาวะ แต่ใช้คำว่า “ความพึงพอใจในชีวิต” หรือ สุขภาวะส่วนบุคคล (Personal Well-being) ซึ่งอาจจะลึกกว่า Well-being โดยบทความวิชาการดังกล่าวระบุว่า มี 3 ปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาวะส่วนบุคคล (Personal Well-being) คือ เสียง ความชื้น และขนาดพื้นที่ต่อคนที่เหมาะสม ดังนั้น การสร้างที่อยู่อาศัยจึงควรคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้
“บริษัทแม่ที่สิงคโปร์มีวิสัยทัศน์ว่า ทำอย่างไรจึงจะสามารถพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อความยั่งยืนได้” ดังนั้น เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) ในฐานะบริษัทลูกต้องนำวิสัยทัศน์นั้นมาปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริงให้ได้ เพื่อให้ทั้งโลกมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นร่วมกัน ไม่ใช่แค่บริษัทอยู่รอด แต่สังคมต้องอยู่รอดได้ โลกต้องอยู่รอดได้” สมบูรณ์ วศินชัชวาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน (CFO) และรักษาการ CEO กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) อธิบายถึงภารกิจที่เฟรเซอร์สต้องทำ
คำถามสำคัญคือ ทำอย่างไร ?
CFO และรักษาการ CEO กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของเฟรเซอร์สอยู่บนหลักคิดที่จะยกระดับระดับคุณภาพชีวิตลูกบ้าน โดยต้องจัดการหรือลดผลกระทบจากความท้าทายต่างๆ ซึ่งได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ, การขาดแคลนพื้นที่สีเขียว, การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และสารเคมี และการจัดการขยะ ภายใต้แนวทางการพัฒนา 3 แนวทาง แบ่งเป็น Health & Wellbeing, Feature & Facility และ Energy & Environment
สมบูรณ์ให้ข้อมูลลงรายละเอียดไปทีละส่วน ดังนี้
“ทำเป็นกระบวนการ ตั้งแต่ออกแบบจนถึงการก่อสร้าง จนถึงการใช้งานในชีวิตประจำวันของลูกค้า เป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญ” ผู้บริหารเฟรเซอร์สย้ำความใส่ใจ
หากมีคำถามว่า สิ่งต่างๆ ที่กล่าวมาสามารถทำได้จริงและจะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมได้จริงหรือไม่ ?
สมบูรณ์ยืนยันว่า มีการพิสูจน์แล้วว่าทำได้จริง โดยให้ผู้เชี่ยวชาญคำนวณวัดค่าการประหยัดพลังงาน ค่าการลดคาร์บอน แล้วกำหนดแผนการในแต่ละขั้นตอนว่าจะลดได้ด้วยโดยดำเนินการอย่างไรบ้าง
“เราเป็นบริษัทอสังหาบริษัทแรกๆ ในประเทศไทยก็ว่าได้ที่ได้รับการรับรองการตั้งเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกระยะสั้นจาก Science Based Targets initiative (SBTI) ว่าถ้าเราตามแผน เราจะทำได้จริง เราไม่ได้ต้องการแค่ออกแบบแล้วพูด แต่ต้องทำเพื่อลดให้ได้จริงๆ เรามุ่งมั่นที่จะทำทุกทางตามข้อกำหนดของเรา ไม่ใช่ฝั่งที่อยู่อาศัย แต่ฝั่งอาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม โรงงาน คลังสินค้า ก็ต้องทำด้วยเช่นกัน”
สมบูรณ์บอกเพิ่มเติมว่า เฟรเซอร์สตั้งเป้าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือ 42% ภายในปี 2030 โดยเทียบกับปีฐาน (2021) ทั้งนี้ เมื่อปี 2024 สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ 29.8% เมื่อเทียบกับปีฐาน
“เราพิสูจน์ว่าเราทำได้จริง ลดได้แล้วประมาณ 30% เหลือเวลาอีก 5 ปี ที่ต้องทำงานกันต่อเพื่อบรรลุเป้าหมาย 100% เป็นเป้าหมายที่ดูท้าทาย แต่ทำได้ ถ้าทุกคนช่วยกัน”
สรวิศ อังสุวรังษี Senior Sustainability Consultant จาก SCG Building and Living Care Consulting เสริมข้อมูลและรายละเอียดการสร้างบ้านตามมาตรฐานบ้านสีเขียวที่โครงการ ‘THE GRAND Riverfront ราชพฤกษ์-พระราม 5’ ของเฟรเซอร์สว่า การสร้างบ้านโครงการนี้เป็นสิ่งที่ท้าทายมาก เพราะไม่ได้มีต้นแบบหรือกรณีศึกษาที่เราสามารถทำตามได้ แต่เป็นผู้ริเริ่มว่าจะนำเกณฑ์ต่างๆ ที่ทำในโครงการระดับอุตสาหกรรมและเชิงพาณิชย์ มาใช้ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยได้อย่างไร
ถึงอย่างนั้นก็ตาม SCG Building and Living Care Consulting ก็สามารถทำได้ โดยประยุกต์ใช้มาตรฐานอาคารสีเขียวมาใช้ในโครงการ ‘THE GRAND Riverfront ราชพฤกษ์-พระราม 5’ ทั้งการประหยัดน้ำ ประหยัดพลังงาน การเลือกใช้วัสดุที่ลดสารเคมี ลดขยะ โดยสรวิศได้เผยรายละเอียดในการดำเนินการ ดังนี้
“มาตรการเหล่านี้ส่งเสริมสามประเด็น คือ ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ใช้งานในบ้านให้ดี สร้างบ้านที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และลดค่าใช้จ่ายผู้อยู่อาศัย โดยลดการใช้ไฟ ลดการใช้น้ำ ลดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาสุขภาพ” สรวิศ จาก SCG Building and Living Care Consulting กล่าว
อีกด้านหนึ่งที่สำคัญ เป็นต้นทางของการสร้างที่อยู่อาศัยที่นำไปสู่สุขภาวะ และนำไปสู่ความยั่งยืนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คือ ความเป็นอยู่ที่ดีของคนงานในไซต์ก่อสร้าง
ในส่วนนี้ ศูนย์การออกแบบสิ่งแวดล้อมเพื่อสุขภาวะ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีโครงการ Well-being Construction Camp ที่ทำร่วมกับสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) โดยมีการลงพื้นที่ไปตรวจสุขภาพให้คนงานในแคมป์ และอยู่ระหว่างพัฒนาไกด์ไลน์การสร้างแคมป์ที่นำไปสู่สุขภาวะของคนงานก่อสร้าง เพื่อผลักดันให้ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องมีแนวทางในการปฏิบัติ
“ปัจจุบันนี้หาคนงานก่อสร้างคนไทยยาก ส่วนมากเป็นคนงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งคนจากแต่ละประเทศก็มีปัจจัยบางอย่างที่ต้องทำความเข้าใจ และนำมาสู่การสร้างที่อยู่อาศัยอย่างเหมาะสมให้เขา … จากการลงพื้นที่สำรวจ พบว่าคนงานบางคนไม่มีประกันสุขภาพ ดังนั้น เมื่อภาครัฐสนับสนุนในเรื่องนี้ ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์และบริษัทรับเหมาก่อสร้างก็ควรจะคำนึงถึงเช่นกัน เพื่อจะนำไปสู่สุขภาวะของทั้งผู้อยู่อาศัยและคนที่สร้างที่อยู่อาศัย” ผศ.ดร.สรนาถฝากถึงบริษัทในธุรกิจอสังหาฯ
ทั้งนี้ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) เป็นหนึ่งในบริษัทที่เข้าร่วมโครงการ Well-being Construction Camp โดยสมัครใจ ซึ่งสมบูรณ์ ผู้บริหารเฟรเซอร์สกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เฟรเซอร์สมีการดูแลคนงานในกระบวนการก่อสร้างมีการจัดการแคมป์คนงานที่มีประสิทธิภาพ มีความสะอาดถูกสุขลักษณะ และดูแลลูกหลานของคนงานก่อสร้างที่ใช้ชีวิตอยู่ในโครงการด้วย “เพราะถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เราต้องดูแล”