Mottainai ออกเสียงว่า ‘โมตไตไน’ คือคำที่คนญี่ปุ่นเอาไว้ใช้เวลาบ่นว่าเสียดายของจังเลย! ซึ่งสะท้อนวัฒนธรรม ‘ขี้เสียดายของญี่ปุ่น’ ได้เป็นอย่างดี บางบ้านในญี่ปุ่นจะไม่ปล่อยให้น้ำล้างหน้าเพียงครั้งเดียวสูญเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์ แต่พวกเขายังเก็บอ่างน้ำนั้นเอาไว้ซักผ้าสกปรกอีกครั้ง ส่วนผ้ากิโมโนเก่า ๆ ที่ใช้บ่อยแล้ว ถูกดัดแปลงมาเป็นผ้าพันคอสุดหรู ไปจนถึงประเพณี ‘คินสึงิ’ ที่บูรณะเครื่องปั้นดินเผาด้วยการซ่อมรอยแตกด้วยตะเข็บทองหลอม
‘โมตไตไน’ จึงไม่ได้เป็นเพียงคำบ่นในภาษาญี่ปุ่น แต่หลักการประหยัดและอนุรักษ์อันเลื่องชื่อนี้ ยังส่งเสริมความยั่งยืนในประเทศ เพราะแนวคิดเก่าแก่ยังสอดคล้องกับแนวคิด 3R ในปัจจุบัน ได้แก่ Reduce ลดการใช้ทรัพยากรและลดการสร้างของเสียตั้งแต่ต้นทาง, Reuse ส่งเสริมการใช้สินค้าซ้ำ และยืดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ และ Recycle แปรรูปกลับไปใช้ใหม่ ทำให้ระบบการคัดแยกและรีไซเคิลในญี่ปุ่นข้มงวดและมีประสิทธิภาพสูงมาก
ท่ามกลางวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม และทั่วโลกหันมาผลักดันแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ญี่ปุ่นนับเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำระดับโลก และเป็นต้นแบบสำคัญของแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยเฉพาะในด้านการจัดการทรัพยากรและการรีไซเคิลอย่างมีประสิทธิภาพ Spotlight ชวนอ่านความเคลื่อนไหวด้านการผลักดันกฎหมายส่งเสริมแนวคิดดังกล่าวในญี่ปุ่น ในเวทีปาฐกถาพิเศษ “จากนโยบายสู่การปฏิบัติ: เศรษฐกจิหมุนเวียนเ เส้นทางสู่ Net Zero และความยั่งยืนระดับโลก” ที่งาน SUSTAINABILITY EXPO 2025 (SX2025) มหกรรมความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน
วัฒนธรรม Mottainai ไม่ได้สอดแทรกอยู่ในการใช้ชีวิตประจำวันของชาวญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังยกระดับไปสู่ชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจ ก่อนหน้านี้ บริษัทขนส่งและโรงงานบางแห่งในญี่ปุ่นร่วมมือกันเก็บ “น้ำซุปราเม็ง” และ “น้ำมันทอดที่ใช้แล้ว” (Tempura Oil) จากร้านอาหาร เพื่อนำไปแปรรูปเป็นไบโอดีเซล และใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถไฟท่องเที่ยวหรือรถบรรทุก
แม้แต่ร้านสะดวกซื้อรายใหญ่อย่าง Lawson ได้ใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อคาดการณ์ความสดใหม่และแนะนำให้ผู้จัดการลดราคาสินค้าที่ใกล้หมดอายุลงอย่างเหมาะสม เพื่อให้ขายได้หมดก่อนที่จะต้องทิ้ง ซึ่งวิถีของธุรกิจรายเล็กจนถึงรายใหญ่เช่นนี้ ทำให้ญี่ปุ่นอาจปรับตัวไม่ยากนัก เมื่อมีการบังคับใช้กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด
นายโดอิ เคนทาโร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า เมื่อปีที่แล้ว (ปี 2024) รัฐบาลญี่ปุ่นมีการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีระดับสูง ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจากหลายกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม, กระทรวงสิ่งแวดล้อม, กระทรวงเกษตรฯ ร่วมกันจัดตั้ง “สภาที่ปรึกษารัฐมนตรีเศรษฐกิจหมุนเวียน” (Ministerial Council on the Circular Economy) เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของประเทศ สำหรับยุทธศาสตร์ดังกล่าวมี 5 แนวทางสำคัญ ดังนี้
1. การรับมือกับประเด็นทางสังคมในระดับภูมิภาค และการจัดการของเสีย มุ่งเน้นการสร้าง "เศรษฐกิจหมุนเวียนและระบบนิเวศในท้องถิ่น" (Regional Circular and Ecological Economy) โดยใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น (เช่น ทรัพยากรชีวมวล, พลังงานหมุนเวียน, ของเสีย) เพื่อสร้างงานและฟื้นฟูชุมชนให้เข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้
2. การรีไซเคิลทรัพยากรอย่างครอบคลุมตลอดวงจรชีวิต ผ่านความร่วมมือระหว่างธุรกิจ ส่งเสริมให้เกิดการผนึกกำลัง ระหว่างผู้ประกอบการต้นน้ำ (ผู้ผลิต) กับปลายน้ำ (ผู้รีไซเคิล) เพื่อให้มั่นใจว่าวัสดุที่ใช้แล้วจะถูกนำกลับมาใช้ใหม่ด้วยคุณภาพสูงที่สุด เช่น การรีไซเคิลพลาสติก แบตเตอรีรถยนต์ไฟฟ้า
3. การมีส่วนร่วมของประชาชนและองค์กรหลากหลาย เพื่อเปลี่ยนสู่รูปแบบการบริโภคที่ยั่งยืน ส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของพลเมือง รวมถึงขยายการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับ การซ่อมแซม, การใช้ซ้ำ และการแบ่งปัน
4. การเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เน้นการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพโรงงานจัดการของเสีย การรีไซเคิล และบ่อฝังกลบ เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถรองรับปริมาณของเสียที่เพิ่มขึ้นได้อย่างยั่งยืน และเพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางทรัพยากร
5. การสร้างระบบหมุนเวียนทรัพยากรระหว่างประเทศที่เหมาะสม และการขยายธุรกิจรีไซเคิลของญี่ปุ่นสู่ต่างประเทศ เพื่อสร้างกฎเกณฑ์สากล และสนับสนุนให้บริษัทญี่ปุ่นขยายความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีรีไซเคิลและระบบจัดการของเสียไปยังประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมโลก
นายโอตากะ มาซาโตะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย กล่าวว่า การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ญี่ปุ่น เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อ ค.ศ. 1887 ในปี 2025 นี้ก็นับว่าครบรอบ 138 ปีแล้ว แต่การติดต่อแลกเปลี่ยนระหว่างกันนั้น มีมาอย่างยาวนานกว่านั้น ตั้งแต่สมัยอยุธยาในประเทศไทย และอาณาจักรริวกิว (Ryukyu Kingdom) ของญี่ปุ่น ทั้งสองประเทศจึงได้สร้างความร่วมมือเพื่อพัฒนาในหลายด้าน และหล่อหลอมให้เกิดความเคารพซึ่งกันและกัน
ในด้านเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ นับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ญี่ปุ่นได้ลงทุนในประเทศไทยคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 4,000,000 ล้านบาท (4 ล้านล้านบาท) โดยประเทศไทยนับเป็นฐานการผลิตและการลงทุนสำหรับญี่ปุ่นที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันมีการลงทุนของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทยรวมแล้วกว่า 6,000 แห่ง แม้เศรษฐกิจโลกจะผันผวนและเกิดวิกฤตสาหัสเพียงใด แต่การค้าระหว่างประเทศยังคงแข็งแกร่ง
สำหรับการส่งเสริมธุรกิจระหว่างสองประเทศให้ดำเนินตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนและการจัดการของเสียนั้น เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ทางรัฐบาลญี่ปุ่นเปิดรับความคิดเห็นอย่างเต็มที่ เพื่อพัฒนาแนวทางดังกล่าวร่วมกัน ประเทศไทยเป็นประเทศบริโภคพลาสติกขนาดใหญ่ แต่ระบบรีไซเคิลพลาสติกยังไม่พัฒนาเต็มที่ จึงเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจให้ภาคธุรกิจของญี่ปุ่นนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาเติมเต็มได้
ประเด็นการบริโภคพลาสติกของไทยสอดคล้องกับข้อมูลของ ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ระบุว่า ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาขยะล้นเมือง ประเทศไทยเคยถูกจัดอยู่ในอันดับ 6 ของโลก ในประเทศที่มีการสร้างหรือพบขยะพลาสติกในทะเลมากที่สุด แต่การดำเนินการลดปริมาณขยะอย่างจริงจัง ทำให้อันดับของประเทศไทยในการปล่อยขยะพลาสติกลงทะเลลดลงมาอยู่ในอันดับที่ 10 ของโลก
อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีโจทย์ใหญ่ที่ต้องเปลี่ยนผ่านแนวทางตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนให้สำเร็จ โดยสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยมีบทบาทสำคัญในการเป็นหน่วยงานคลังสมอง (Think Tank) และเป็นผู้ประสานงานหลักระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ในโอกาสนี้ สถาบันฯ ได้มอบคำแนะนำกลยุทธ์ 3 เสาหลักเพื่อการเปลี่ยนผ่านด้านพลาสติก (Plastics Transition) ได้แก่ 1. การทำให้พลาสติกหมุนเวียน (Making Plastic Circular) 2. การทำให้ความเป็นกลางทางคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Making the plastic life cycle net-zero) และ 3. การส่งเสริมการใช้พลาสติกอย่างยั่งยืน (Fostering Sustainable Use of Plastics)