มูลนิธิกระจกเงา ชวนสังคมช่วยกันคิด จริงหรือไม่? งานอาสาสมัคร เป็นงานที่ "ไม่ฉลาด" และ "ขาดทุน"
งาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) มหกรรมความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ได้รับเกียรติจาก คุณสมบัติ บุญงามอนงค์ ประธานกรรมการมูลนิธิกระจกเงา มาร่วมพูดคุยในหัวข้อ Volunteers in Action มูลนิธิกระจกเงา
คุณสมบัติ บุญงามอนงค์ เผยว่า มูลนิธิกระจกเงามีโครงการที่เกี่ยวกับอาสาสมัครหลายโครงการ เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เพื่อนของตนที่เป็นอาจารย์เคยถามนักศึกษาปริญญาโทว่า คิดอย่างไรกับคำว่า "อาสาสมัคร" มีคนหนึ่งตอบว่ารู้สึก "ไม่ฉลาด" ทำไปทำไม ทำแล้วได้อะไร โดนหลอกหรือเปล่า ส่วนบางคนก็บอกว่าเป็นการ "ขาดทุน" เพราะทำไปแล้วไม่ได้อะไรกลับมาเลย ดังนั้นวันนี้ตนจึงอยากมาถ่ายทอดเรื่องของ "ไม่ฉลาด" และ "ขาดทุน" ให้ทุกคนได้รับฟัง
ในสมัยที่ตนเริ่มทำงานอาสาสมัคร ตนได้รู้จักกับ "ครูหยุย" ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากในสมัยนั้น โดยปักหลักให้ความสำคัญกับปัญหา "เด็กเร่ร่อน" ตนตั้งคำถามว่ามีเหตุผลอะไรทำไมมูลนิธิแห่งนี้ถึงเลือกทำงานกับเด็กเร่ร่อน ก็ได้รับคำตอบว่า ท่านมีลูกสาวที่อายุไล่เลี่ยกับเด็กเร่ร่อนเหล่านี้ การแก้ไขปัญหาเด็กเร่ร่อนจึงเป็นการลงทุนแก้ไขสภาพแวดล้อมให้กับลูกสาวของเขาในอนาคต เป็นการลงทุนที่เล็งหวังผลต่ออนาคตที่ยังมาไม่ถึงอีกหลายปี
สำหรับประเทศไทย กระแสจิตอาสาหรืออาสาสมัคร เริ่มบูมเมื่อปี 2004 ที่เกิดเหตุการณ์สึนามิทางภาคใต้ มูลนิธิกระจกเงาลงไปตั้งศูนย์รักษาการอาสาสมัครอยู่ที่เขาหลัก จังหวัดพังงา เราได้เจอกับคนไทยจำนวนมากที่ลงไปในพื้นที่แล้วก็ไปเป็นอาสาสมัคร ณ วันนั้น มูลนิธิกระจกเงามีอาสาสมัครทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติรวมประมาณ 5,000 คน บางคนเป็นนักบาสเอ็นบีเอ บางคนจบเอ็มไอที มีอยู่หนึ่งคนทำธุรกิจอยู่ที่อเมริกามาเป็นอาสาสมัครต่อเรือประมง เขาต่อเรือไปได้ถึง 150 ลำ ส่งต่อเรือให้กับชาวประมงนำไปทำมาหากินได้ต่อ
นอกจากนี้ยังมีสามีภรรยาชาวเยอรมันที่มาเป็นอาสาสมัครหลังจากเข้ามาท่องเที่ยวในเมืองไทยแล้วสูญเสียลูกไปกับคลื่นสึนามิ พวกเขาเศร้าโศกเสียใจอย่างแสนสาหัสจนป่วยซึมเศร้า แต่สุดท้ายเขาเลือกที่จะกลับมายังประเทศไทย สถานที่ที่เขาสูญเสียลูกไป แล้วมาเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่เป็นคนไทยเพราะเข้าใจว่าต่างก็ประสบชะตากรรมเดียวกันคือสูญเสียคนที่รักไป ทำให้เรื่องราวของชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนไป มันไม่ได้จบตรงแค่การสูญเสีย แต่พวกเขาได้กลับมาช่วยเหลือคนที่รอดชีวิต เพื่อจะกลับไปมีชีวิตแบบปกติ ส่วนตัวเขาเองก็เหมือนได้ฮีลใจกับการสูญเสีย ซึ่งอยากให้ทุกคนได้ตั้งคำถามว่าสิ่งที่พวกเขาทำไม่ฉลาดหรือขาดทุนตรงไหน
นอกจากนี้ ยังมีเคสของน้ำท่วมที่แม่สาย จังหวัดเชียงราย ดินโคลมถล่มเข้ามาในบ้านเรือนของประชาชน ต้องขุดออกมา ช่วงแรกมีชาวไทยใหญ่รับจ้างขุดโคลนในบ้าน แต่ด้วยสภาพโคลนที่มีปริมาณมหาศาล หลังจากนั้นประมาณ 1 อาทิตย์ พวกเขาก็ถอนตัวไม่รับงานทั้งหมดเลย เพราะขุดไม่ไหว ทำไม่ไหว มูลนิธิกระจกเงาได้เกณฑ์อาสาสมัครลงพื้นที่ไปช่วย บางคนอาจจะเรียกว่าเป็นการ "ล้างบ้าน" แต่จริงๆแล้วไม่ใช่มันคือ "การขุดโคลน" บอกเลยว่าเป็นงานที่โหดมาก แต่อาสาสมัครทุกคนก็เต็มใจช่วยให้ชาวบ้านได้กลับเข้าไปอาศัยได้ ถึงจะเหน็ดเหนื่อยแต่ก็ยังมีสีหน้าที่ยิ้มแย้ม แม้บางคนอาจจะมองว่า "ไม่ฉลาด" หรือ "ขาดทุน" ก็ตาม
มูลนิธิกระจกเงามีอาสาสมัครรวมทั้งสิ้นประมาณ 15,000 คน เรียกได้ว่าอาจจะมากที่สุดในประเทศไทย เราทำงานในหลายโครงการ หากจะให้ตนอธิบายว่าเราทำอะไรบ้าง อาจจะต้องให้เวลาตนสักครึ่งวันเพื่ออธิบาย ขอยกตัวอย่างอีกเหตุการณ์คือ "ไฟป่า" ที่ภาคเหนือ ในปี 2567 พบว่าสถานการณ์ไฟป่าและฝุ่น PM2.5 ทำให้เกิดผู้ป่วยเกือบ 1 ล้านคน ซึ่งทำให้รัฐต้องใช้งบประมาณในการรักษาพยาบาล ไฟป่าที่เกิดขึ้นในแต่ละจุดหากไม่เข้าไปดับภายใน 24 ชม.สามารถขยายตัวได้ถึง 3-5 เท่า แต่ไม่มีปีไหนเลยที่เราดับไฟสำเร็จโดยฝีมือมนุษย์ ทำได้แค่ช่วยบรรเทาให้เบาที่สุดแล้วรอฤดูฝนให้ฝนช่วยดับ
ไฟป่าในอเมริกา ออสเตรเลีย หรือที่อื่นๆ ในต่างประเทศ เป็นไฟเรือนยอด เนื่องจากต้นไม้ในพื้นที่เป็นต้นไม้น้ำมัน เช่น ต้นสน ยูคาลิปตัส การจะดับต้องใช้สารเคมีจำนวนมากไปโปรย แต่ไฟป่าของไทยเป็นไฟที่ดับไม่ยาก มันเป็นไฟเรียดดิน ไฟเรียดพื้น ป่ามีความชื้น มีน้ำค้างช่วยดับ อยากจะบอกว่าฝึกแค่ครึ่งชั่วโมงก็ช่วยกันดับไฟป่าได้ แต่ปัญหาคือพื้นที่ที่เกิดไฟป่าอยู่ในที่สูง อยู่บนเขา อาสาสมัครหลายคนเดินขึ้นไม่ไหว แต่ละปีอาสาสมัครหรือกู้ภัยที่ขึ้นไปดับไฟแล้วเสียชีวิตเกิดจากสโตรก หัวใจวาย ไม่ใช่ถูกไฟเผา มูลนิธิกระจกเงามีอาสาสมัครดับไฟป่าประมาณ 60 คน เกือบทั้งหมดเป็นคนมีประสบการณ์ หรือเป็นชาวเขา เป็นคนในพื้นที่ การดับไฟสามารถดับได้ 2 วิธี คือ การใช้น้ำ หรือใช้เครื่องเป่า เป่าใบไม้ที่เป็นเชื้อเพลิงให้แยกออกมา แต่การจะแบกน้ำขึ้นไปนั้นเป็นงานหนักและยากมาก ปีแรกเราใช้รถมอเตอร์ไซค์วิบากแต่ไม่รอด เพราะบางที่ทางชันมาก บางเส้นทางบนภูเขานั้นไม่ใช่ทางปกติเวลารถล้มจึงลำบากมาก จึงหันมาใช้ "จักรยานไฟฟ้าออฟโรด" ขนาดน้องอาสาสมัครที่เป็นผู้หญิงน้ำหนักเยอะก็ยังสามารถขี่ขึ้นเขาได้ ซ้อนสองได้ด้วย น้ำหนักเบา เวลาล้มมันจะไม่ทับตัว ไม่ทำให้บาดเจ็บสาหัสเหมือนมอเตอร์ไซค์วิบาก เราจึงใช้จักรยานไฟฟ้าขนน้ำขึ้นไปดับไฟป่าซึ่งก็ช่วยได้มาก
อีกโครงการชื่อว่า "เพื่อนพาไป" เราพยายามชักชวนให้คนพิการออกมาใช้ชีวิต ปัญหาของเมืองไทยก็คือผู้คนในสังคมมองว่า คนพิการควรจะอยู่บ้าน แต่เวลาไปเที่ยวต่างประเทศในประเทศที่พัฒนาแล้ว คุณจะเห็นคนพิการออกมาใช้ชีวิตเต็มไปหมด จริงๆ แล้วเขาไม่ได้มีคนพิการมากกว่าคนไทย แต่โครงสร้างพื้นฐาน ระบบนิเวศในสังคม รวมถึงวิธีคิด มายด์เซตของเขาต่างกับเรา เขาคิดว่าคนพิการมีสิทธิที่จะดำเนินชีวิตเป็นมนุษย์ สามารถที่จะต้องออกมาใช้ชีวิตได้ แต่เมืองไทยแค่ฟุตปาธ ลิฟต์ ทางเดินสำหรับผู้พิการก็เป็นเรื่องที่จะต้องออกมาเรียกร้อง ซึ่งโครงการ "เพื่อนพาไป" อยากให้คนพิการออกมาใช้ชีวิตจึงมีกิจกรรมที่จะพาพวกเขาออกไปเที่ยว ไปทำกิจกรรม บางคนตั้งแต่พิการก็อยู่บ้านนานเป็นสิบปี ไม่ได้ออกไปไหนเลย เราได้พาผู้พิการไปเที่ยวทะเล ไปท้องฟ้าจำลอง พาคนตาบอดไปดูหนัง แต่ว่าในประเทศไทยยังไม่มีแม้แต่โรงหนังเดียวที่สามารถทำให้วีลแชร์สามารถเดินทางเข้าไปในโรงหนังแล้วไม่ต้องช่วยกันยก หรือพยุงผู้พิการ การพาคนตาบอดไปดูหนังในโรงภาพยนตร์จึงเป็นประสบการณ์ที่พิเศษมาก เพราะต้องมีอาสาสมัครคอยนั่งอยู่ข้างๆ ช่วยพากย์ ช่วยบอก พวกเขาก็หัวเราะมีความสุขกัน
นอกจากนี้ ยังมีการพาคนพิการไปเที่ยวสวนสนุก บางคนบอกว่าพ่อแม่เคยพามาเที่ยวตั้งแต่ยังเด็กๆ แต่พอโตมาแล้วพิการก็ไม่ได้มาเที่ยวสวนสนุกอีกเลย พอเราพาพวกเขาไปเที่ยวโดยมีอาสาสมัครไปช่วย ปรากฏว่าผู้พิการทุกคนเล่นเครื่องเล่นทุกเครื่อง เขารู้สึกว่ามีโอกาสมาแล้วก็อยากเล่นให้ครบเพราะไม่รู้ว่าจะได้มาอีกเมื่อไหร่ นั่นเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าพวกเขาต้องการออกมาใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป
มูลนิธิกระจกเงายังมีโครงการเพื่อสังคมอีกหลายอย่าง เราคาดว่าภายในปีหน้าจะมีอาสาสมัครเพิ่มเป็น 20,000 คน ที่จะเข้ามาช่วยกันทำกิจกรรมต่างๆ จึงอยากขอเชิญชวนบริษัท องค์กรต่างๆ ถ้าหากมีกำลังพลอยากเป็นอาสาสมัคร ทางมูลนิธิยินดีและพร้อมให้เข้ามายึด เรายอมตกงาน 1 วัน เพื่อให้ทุกคนได้เข้ามาช่วย ถ้ามีโอกาสมูลนิธิกระจกเงาก็ยินดีต้อนรับทุกคน