เมืองที่คุณวาดฝันไว้หน้าตาเป็นแบบไหน? ท้องฟ้าสวย อากาศสดชื่นปราศจากฝุ่นควันจากท่อไอเสีย แม่น้ำที่ใสสะอาด ทางเท้าที่เราสามารถเดินได้วิ่งได้โดยที่ต้องกลัวสะดุดล้ม
กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงที่ไม่เคยหลับใหล แต่ผู้คนในเมืองกลับใช้ชีวิตนอกบ้านที่ยังมีปัญหามลพิษ ปัญหารถติด สวนสาธารณะ หรือพื้นที่สีเขียวไม่เพียงพอ ระบบขนส่งสาธารณะอาจจะยังพัฒนาได้ไม่ดีเท่าที่ควร
บทความนี้ SPOTLIGHT ชวนทุกคนมาตั้งคําถามว่า ประเทศไทยพร้อมเป็น Smart City หรือยัง ? โดยสรุปสาระสำคัญมาจากมุมมองของ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ในหัวข้อเสวนา Bangkok Smart & Livable city ภายในงาน SX2025
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหลายประเทศพยายามที่จะพัฒนาเมืองของตนให้กลายเป็น ‘Smart City’ หรือ ‘เมืองอัจฉริยะ’ แต่การที่เมืองเมืองหนึ่งจะกลายเป็น Smart City นั้นต้องมีคุณสมบัติหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น พลเมืองอัจฉริยะ (Smart People), เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy), การบริหารภาครัฐอัจฉริยะ (Smart Governance), การสัญจรอัจฉริยะ (Smart Mobility), พลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy), สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment), และ การดำรงชีวิตอัจฉริยะ (Smart Living)
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาเมืองคือ ‘ความพร้อม’ ทั้งคนและเทคโนโลยี ซึ่งผู้ว่าฯชัชชาติ ได้ชี้ว่าการพัฒนา Smart City ต้องให้ความสำคัญกับ People Centric ไม่ใช่ Technology Centric พร้อมได้ยกตัวอย่างให้ฟังว่า ต่อให้เราทุ่มเงินไปมากแค่ไหนเพื่อดึงเทคโนโลยีล้ำๆเข้ามา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะกลายเป็น Smart City ได้หากคนไม่มีความพร้อม
เช่น เรามีป้ายรถเมล์อัจฉริยะแต่รถเมล์ที่เราใช้บริการมีอายุมากกว่า 30 ปี ปล่อยควันดำ หรือ เรามีป้ายแท็กซี่อัจฉริยะ แต่ถนนกลับเต็มไปด้วยความขรุขระ
ดังนั้นคำว่า Smart City อาจต้องเปลี่ยนเป็นคำว่า Smart Enough City
Smart Enough City หรือ เมืองที่ฉลาดพอเหมาะ คือ เมืองที่ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการพัฒนาประสิทธิภาพและความยั่งยืนของเมือง
ผู้ว่าฯชัชชาติ ระบุด้วยว่า ปัจจัยหนึ่งที่ฉุดรั้งการพัฒนาของเมือง คือ ความล้าหลังของ ‘ระบบราชการ’ ตัวอย่างเช่นคำร้อง 1 เรื่องของประชาชนกว่าจะได้รับการแก้ไขนั้นต้องผ่านหลายกระบวนการและใช้ผู้อนุมัติมากกว่า 7 ลายเซ็นต์รวมถึงใช้เวลารอนานมากกว่า 15 วัน ดังนั้นหากเปรียบเทียบกันแล้วราชการเป็นระบบที่ดีเลย์ในการให้บริการ แต่เอกชนใช้ digital platforms แข่งกันให้บริการ
นั่นจึงทำให้ผู้ว่าฯชัชชาติ ต้องการสร้างแอปพลิเคชัน Traffy Fondue ขึ้นมาเพื่อให้ประชาชนได้ร้องเรียงเรื่องความเดือดร้อนต่างๆได้เองโดยตรงโดยไม่ต้องผ่านระบบราชการที่ใช้เวลานาน โดยเปรียบเทียบว่าโทรศัพท์ของทุกคนนั่นคือกล้อง CCTV ที่คอยช่วยแจ้งเหตุให้กับกทม.
ผู้ว่าฯชัชชาติ ได้เล่าว่า หัวใจหลักของ Traffy Fondue คือการให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางในการใช้เทคโนโลยี เกิดการกระจายอำนาจและเพิ่มประสิทธิภาพของการบริการ
สิ่งสำคัญของเทคโนโลยีคือการสร้างความโปร่งใส่ในการทำงานโดยสามารถดูหลังบ้านได้ชัดเจนว่าหน่วยงานไหนทำงานจริง หน่วยงานไหนอู้งาน ประชาชนร้องเรียนอะไรมากที่สุด ปัญหาเหล่านี้ใครเป็นคนแก้ไข
ผู้ว่าฯชัชชาติ ได้เล่าถึงความน่าอยู่ของเมืองอย่าง กทม.ว่า
แต่ในขณะที่ดัชนีความน่าอยู่ทั่วโลกของ สิงคโปร์ อยู่ที่ 33, ฮ่องกง อยู่ที่ 54, มาเลเซีย อยู่ที่ 78 และเวียดนาม อยู่ที่ 112
จากตัวเลขนี้เห็นได้ชัดว่ากรุงเทพมหานคร เป็นเมืองที่สนุกสนานหากอยู่แบบ short terms หรือว่ามาเที่ยว vacation แต่สำหรับผู้ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่แบบถาวรเมืองๆนี้อาจไม่ตอบโจทย์
ผู้ว่าฯชัชชาติ ได้ยกตัวอย่างการพัฒนาเมืองของ Copenhagen ที่ในอดีตมีปัญหาทั้งมลภาวะทางอากาศ และน้ำเน่าเสีย แต่ตอนนี้ Copenhagen เป็นเมืองที่น่าอยู่อันดับ 1 ที่คนสามารถว่ายน้ำเล่นในแม่น้ำได้ เพราะน้ำใสมาก ผู้คนสามารถออกไปใช้ชีวิตนอกบ้าน เดินเล่นได้เพราะอากาศดีโดยไม่ต้องใช้เครื่องฟอกอากาศ
นั่นสะท้อนว่ากรุงเทพมหานครสามารถถูกพัฒนาและเปลี่ยนเมืองนี้ให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ได้จริง หากเพิ่มความโปร่งใสด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ พร้อมเปิดเผยข้อมูลด้วย Open Data, ใช้ระบบ AI ควบคุมพฤติกรรมการขับขี่, ใช้กล้อง AI CCTV ดูแลความปลอดภัยของประชาชน
ทั้งนี้กทม.ได้ยึด 9 นโยบายหลัก คือ สิ่งแวดล้อมดี, สุขภาพดี, เดินทางดี, ความปลอดภัยดี, การบริหารจัดการดี, สังคมดี, เศรษฐกิจดี, ความโปร่งใสดี, การเรียนดี พร้อมตั้งเป้าหมายในปี 2570 กรุงเทพมหานคร จะเป็นเมืองน่าอยู่ 1 ใน 50 อันดับแรกของโลก