อุตสาหกรรมและประชาคมโลกให้ความสนใจกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นนั้นคือใจความสำคัญของภาคธุรกิจ เพราะแม้ได้รับผลทางตรงจากภาวะโลกรวนน้อยกว่า ก็ต้องเตรียมรับกับระเบียบโลกที่เปลี่ยนไป อย่างหนึ่งคือมาตรการกำหนดคาร์บอนที่ธุรกิจต่าง ๆ ผลิต
“เราอยู่ในยุคอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งมีกิจกรรมที่เรียกว่า Mass production และทุกสิ่งทุกอย่างคือการปล่อยของเสียออกมา และใช้พลังงานออกไป ทำให้เกิดสภาวะโลกร้อน เกิดก๊าซเรือนกระจกขึ้นมา ประชาคมโลกให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้ ทำให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ ต้องมีการปรับทิศทาง” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วิฐิณัฐ ภัคพรหมินทร์ คณะบริหารธุรกิจ สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น กล่าว
ตัวอย่างเช่น CBAM หรือ Carbon Border Adjustment Mechanism มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป หรือการกำหนดราคาสินค้าบางประเภท เพื่อป้องกันสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาก
แน่นอนว่าผู้ประกอบการที่ส่งออกสินค้า 5 กลุ่มนั้น (เหล็กและเหล็กกล้า ซีเมนต์ กระแสไฟฟ้า ปุ๋ย และอลูมิเนียม) ย่อมได้รับผลกระทบ และมีการประเมินว่าจะกระทบการส่งออกสินค้าจากไทยไปสหภาพยุโรปถึง 28,573 ล้านบาท รวมถึงจะมีการเพิ่มสินค้าในเกณฑ์ CBAM ในอนาคตอีก การปรับตัวลดคาร์บอนจึงไม่ใช่แค่การทำเพื่อสิ่งแวดล้อม แต่ทำเพื่อธุรกิจด้วยเช่นกัน
อาจารย์วิฐิณัฐกล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงต้องอาศัยคน ซึ่งการสร้างความรู้และความเข้าใจกับคนต้องใช้เวลา จึงต้องเริ่มให้เร็วที่สุด
“การทำความเข้าใจเรื่องนี้ ยิ่งเร็ว ยิ่งดี เพราะต่างประเทศเขาทำกันหมดแล้ว แต่ประเทศไทยคนยังขาดความเข้าใจเรื่องนี้อยู่มาก เราต้องทำความเข้าใจ ทำหลักสูตรอบรมขึ้นมา ซึ่งมันใช้เวลา [...] ทุกท่านต้องทำความเข้าใจ เพราะเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัว”
ด้วยเหตุผลนี้ สถาบันและหน่วยงานต่าง ๆ จึงเริ่มมีหลักสูตรฝึกอบรมผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่อาจมีทุนในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจตามแนวทางความยั่งยืนน้อยกว่า หรือขาดความรู้เพราะไม่มีนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญในองค์กร เพื่อสร้างความรู้ขั้นพื้นฐานให้ผู้ประกอบการสามารถปรับใช้กับธุรกิจตนเองได้
หนึ่งในนั้นคือคณะบริหารธุรกิจ สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น ที่เปิดหลักสูตรประกาศนียบัตร “นักนวัตกรรมการจัดการคาร์บอนและอุตสาหกรรมสีเขียวเพื่อความยั่งยืนสำหรับ SMEs” ที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ตามโครงการผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่และกำลังคนที่มีสมรรถนะเพื่อตอบโจทย์ภาคการผลิตตามนโยบายการปฏิรูปการอุดมศึกษาไทย ปี พ.ศ. 2568
หลักสูตรนี้มีระยะเวลาการเรียน 285 ชั่วโมง แบ่งเป็นภาคทฤษฎี 60 ชั่วโมง และปฏิบัติ 225 ชั่วโมง มี 4 ชุดวิชาคือ
หัวข้อที่ 1 การเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมสีเขียวสู่ความยั่งยืน (Green Industrial Transformation toward Sustainability)
หัวข้อที่ 2 ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม การตรวจสอบและยืนยันก๊าซเรือนกระจก (Environmental Management Systems & Greenhouse Gas Validation and Verification)
หัวข้อที่ 3 การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO)
หัวข้อที่ 4 มาตรฐานการรายงานความยั่งยืนตามหลัก GRI และมาตรฐานการรายงานความยั่งยืน (VSME Standard) (Sustainability Reporting Standards according to GRI principles and Sustainability Reporting Standards (VSME Standard))
ผู้ที่จบหลักสูตรนี้จะสามารถจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจก ในการจัดรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (CFO หรือ Carbon Footprint for Organization) ได้ ได้รับประกาศนียบัตร และ 9 หน่วยกิตที่สามารถใช้ในการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาได้
“เรามีการสอนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ภาคทฤษฎีคือส่วนให้ความรู้ และภาคปฏิบัติเราให้ลงมือทำจริง เราให้เขาไปประเมินที่สถานประกอบการตน ดูว่าอะไรคือของเสียที่เกิดขึ้นในกระบวนการของเขา และให้ลด reuse reduce recycle ในกระบวนการ เขาจะได้ลดของเสียในกระบวนการของตนได้” อาจารย์วิฐิณัฐกล่าว
สถาบันฯ จะเปิดรับสมัครรุ่นที่ 2 ราวเดือนมิถุนายน 2569 สามารถกรอกแบบฟอร์มสมัครได้ทางเว็บไซต์ ซึ่งต้องรอประกาศต่อไป หลักสูตรมีค่าธรรมเนียม 8,000 บาท
อาจารย์วิฐิณัฐกล่าว ผู้ประกอบการที่ให้ความสนใจเป็นพิเศษในการเข้าร่วมหลักสูตรคือ อุตสาหกรรมอาหาร เสื้อผ้าและสิ่งทอ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับพลาสติก ซึ่งหลักสูตรนักนวัตกรรมจัดการคาร์บอนมีแนวทางที่หลายธุรกิจสามารถไปปรับใช้ได้ และเน้นย้ำถึงการจัดสรรงบประมาณ ที่ภาครัฐต้องสนับสนุน และภาคธุรกิจต้องเข้าใจและวางแผนระยะยาว
นอกจากนี้ อาจารย์ยังทิ้งท้ายไว้ว่า “ภาครัฐต้องสนับสนุนด้านการพัฒนาองค์ความรู้ให้กับ SMEs และต้องหาผู้เชี่ยวชาญให้สนับสนุน จึงต้องมีงบประมาณมาช่วย และอุตสาหกรรมต้องมีการตระหนัก และวางนโยบาย การที่ส่งคนมาเรียนรู้ เขาก็จะสามารถนำคนเข้าไปพัฒนาต่อได้”