Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ห้องเรียนหลังรั้วสถานพินิจ: เด็กเคยทำผิดไปต่ออย่างไร?
โดย : ณัฏฐณิชา ภู่คล้าย

ห้องเรียนหลังรั้วสถานพินิจ: เด็กเคยทำผิดไปต่ออย่างไร?

1 ก.ย. 68
11:49 น.
แชร์

“เด็กในสถานพินิจ” หากได้ยินคำนี้ท่านผู้อ่านนึกถึงคำอธิบายใดเป็นอย่างแรก? แม้คำตอบอาจมีหลากหลายแต่ผู้เขียนเดาว่าโดยมากคงไม่พ้นห่างกันไปไกลนัก นั่นคือการ เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด พฤติกรรมไม่ตรงครรลอง หรือภูมิหลังน่ากังขา

แล้วถ้าถามถึง “ชีวิตหลังออกจากสถานพินิจ” ล่ะ ท่านผู้อ่านนึกถึงอะไร คำตอบข้อนี้คงจะสะท้อนศรัทธาที่ท่านมีต่อกระบวนการภายใต้หลังคาสถานพินิจได้ไม่มากก็น้อย แต่ไม่วาท่านจะมองอย่างไร เจตนารมณ์ของศาลเยาวชนคือ “การแก้ไขบำบัดฟื้นฟู” ไม่ใช่การลงโทษ

บทความนี้ ผู้เขียนไม่ต้องการบอกผู้อ่านว่าสถานพินิจนั้นดีอย่างไร และ “แก้ไข” เด็กดื้อให้กลายเป็นเด็กดีได้มีประสิทธิภาพแค่ไหน แต่ต้องการแบ่งปันภาพมุมหนึ่งจากการเข้าเยี่ยมสถานพินิจชลบุรีในเดือนสิงหาคม ปี 2568 สถานพินิจ 1 แห่งจาก 77 ทั่วประเทศ และความพยายามของศาลเยาวชน สถานพินิจ และหน่วยงานเอกชน อย่างในกรณีนี้ การทำโครงการ CSR ของเคเอฟซี ประเทศไทย ในการดูแลเด็ก ๆ ในสถานพินิจที่ได้พบเจอมา

สถานพินิจจังหวัดชลบุรี

ตามข้อมูลจากกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนวันที่ 31 สิงหาคม 2568 มีเด็กและเยาวชนอาศัยอยู่ในสถานพินิจและศูนย์ฝึกอบรมทั่วประเทศไทยรวม 4,035 คน ด้านสถานพินิจจังหวัดชลบุรีเองได้ดูแลเด็กและเยาวชนอยู่ 76 คน ณ วันที่ผู้เขียนเดินทางไป แบ่งเป็นชาย 70 คน และหญิง 6 คน จาก 4 จังหวัดคือ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก และปราจีนบุรี เนื่องจากไม่ใช่สถานพินิจทุกจังหวัดจะมีสถานแรกรับเด็กและเยาวชนไว้สำหรับควบคุมดูแลเด็กและเยาวชนจึงต้องฝากไว้กับสพ. จังหวัดอื่น 

สถานพินิจจังหวัดชลบุรีตั้งอยู่บนพื้นที่ราว 10 ไร่ แยกย่อยเป็นอาคาร 7 หลัง ที่ตั้งอยู่หน้าสุดคอยรับรองแขก คืออาคารอำนวยการที่แบ่งพื้นที่เป็นคาเฟ่เล็ก ๆ ที่ชั้น 1 ให้เด็กในสถานพินิจได้ลองฝึกทำงาน ด้านหลังคืออาคารนอนชาย หอนอนหญิงที่มีลักษณะคล้ายบ้าน อาคารเรียนที่ดัดแปลงจากหอนอน โรงครัว โรงอาบน้ำ และห้องซักล้าง

เด็กและเยาวชนที่อาศัยอยู่หลังรั้วสูงของสถานพินิจแห่งนี้เข้ามาด้วย 2 กรณี คือ 

  1. ระหว่างรอพิจารณาคดี และศาลพิจารณาว่าผู้ปกครองไม่สามารถดูแลเด็กอย่างมีประสิทธิภาพได้ ให้ฝากตัวไว้กับสถานพินิจ
  2. ตามมาตรา 132 พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 ที่ให้ศาลมีอำนาจกำหนดมาตราการต่าง ๆ ในการฟื้นฟูทัศนคติเด็กและเยาวชน หนึ่งในนั้นคือให้อยู่ภายใต้การดูแลของกรมพินิจ หากเห็นแล้วว่าผู้ปกครองไม่สามารถคุ้มครองดูแลเด็กอย่างมีประสิทธิภาพได้

สถานพินิจจึงเป็นพื้นที่แก้ไขบำบัดฟื้นฟู กรณีที่ศาลเห็นว่ายังไม่สมควรให้มีคำพิพากษาติดตัว แต่หากพฤติกรรมมีความรุนแรง แม้ไม่อยากให้เยาวชนต้องมีประวัติ แต่บางกรณีศาลก็จำเป็นต้องสั่งให้อยู่ในการดูแลของศูนย์ฝึกและอบรม พูดง่าย ๆ คือในกรณีที่ความผิดหนักกว่า เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เสียหาย หรือเห็นควรว่าเด็กควรได้รับการฝึกอบรมเพื่อประโยชน์สูงสุดของตัวเด็กเอง

ฐานความผิด และพื้นฐานชีวิตก่อนเข้าสถานควบคุม

คุณยุทธศักดิ์ รุ่งเรืองนรา

คุณยุทธศักดิ์ รุ่งเรืองนรา ผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดชลบุรีกล่าวว่า ความผิดหลักที่ส่งเด็กและเยาวชนมาอยู่ใต้การดูแลของเขามี 5 ประเภทหลัก ๆ คือ 1. ความผิดฐานทรัพย์ 2. ความผิดฐานชีวิตและร่างกาย 3. ความผิดฐานเกี่ยวกับยาเสพติด 4. ความผิดฐานเกี่ยวกับอาวุธ และสุดท้าย 5. ความผิดฐานเพศ

เมื่อถามว่า แล้วเด็กจากพื้นฐานแบบไหนที่คุณยุทธศักดิ์พบได้บ่อยในสถานพินิจ คุณยุทธศักดิ์เน้นย้ำก่อนว่า เด็กแต่ละคนมีภูมิหลังชีวิตที่แตกต่างกัน ดังนั้นยืนกรานสาเหตุโดยรวมเป็นเรื่องยาก อย่างไรก็ตามประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาพอบอกสิ่งที่พบได้บ่อย 3 ข้อในกลุ่มเด็กที่ฝากสถานพินิจควบคุมคือ

  1. ราว 90% มาจากครอบครัวมีปัญหา อาจอยู่กับพ่อหรือแม่เพียงคนเดียว หรือไม่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างใส่ใจ บ้างไม่ได้อาศัยอยู่กับคอบครัว 
  2. คนที่มาจากครอบครัวฐานะยากจน หรือผู้ปกครองต้องดิ้นรนหาเลียงครอบครัว จนอาจมีเวลาอบรมดูแลเด็กอย่างใส่ใจได้น้อย ทั้งยังมีความสามารถในการประกันตัว และวิ่งคดีได้น้อยกว่า
  3. เด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาด้วยปัจจัยต่าง ๆ อาทิ ปัยหาด้านการเงินของครอบครัว เงื่อนไขทางสุขภาพจิตของเด็ก เช่น สมาธิสั้น การถูกรังแกจากกลุ่มเพื่อน และอื่น ๆ

ลักษณะที่พบได้บ่อยทั้ง 3 ข้อนี้ สะท้อนสิ่งที่คุณอุดม ลาภิเศษพันธุ์ ประธานผู้พิพากษาสมทบศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดชลบุรีกล่าวถึง นั้นคือ The Social Bond Theory หรือทฤษฎีความผูกพันธ์ทางสังคม ซึ่งมีสมมุติฐานว่า บุคคลที่มีพันธะทางสังคมน้อยมีแนวโน้มที่จะก่ออาชญากรรมมากกว่า ปัจจัย 4 ข้อที่ทำให้คนมีความผูกพันธ์กับสังคมคือ ความผูกพัน (attachment) ข้อผูกมัด (commitment) การเข้าร่วม (involvement) และความเชื่อ (belief) 

นายอุดม ลาภิเศษพันธุ์ ประธานผู้พิพากษาสมทบศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดชลบุรี และนางจุฑารัตน์ มัคครากุล รองประธานฝ่ายสงเคราะห์และพัฒนาคุณภาพชีวิต

คุณอุดมอธิบายว่า การขาดครอบครัวที่อบอุ่นหรือผู้ปกครองให้การดูแลใกล้ชิดที่สร้างความผูกพันทางใจนั้น จะส่งผลกระทบต่อความผูกพันกับสังคม การไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษาหรือเข้าร่วมกิจกรรมที่สร้างประโยชน์ เช่นเด็ก ๆ ที่หลุดออกจากระบบการศึกษาด้วยสาเหตุต่าง ๆ อาจส่งผลต่อข้อผูกมัดและการเข้าร่วม รวมถึงการรายล้อมด้วยสังคมที่ไม่สนับสนุนไปในทางดี จะส่งผลต่อความเชื่อของเด็ก นอกจากนี้ยังมีอีกปัจจัยที่กระทบต่อพื้นฐานชีวิต-จิตใจเด็กจนถึงลักษณะการกระทำผิด นั่นคือ พลวัตทางสังคม

“ลักษณะฐานคดีนั้นขึ้นอยู่กับพลวัตของสังคมเราด้วย [...] รวมไปถึงในช่วงเศรษฐกิจที่ไม่ดี ก็จะมีฐานทรัพย์มาก” คุณอุดมกล่าว ยกตัวอย่างเศรษฐกิจตกต่ำ กระทบกับจำนวนคดีลักษณ์ทรัพย์ในเยาวชนมากขึ้น หรือการแก้ไขกฎหมยบางประการ เช่น กฎหมายยาเสพติด เมื่อมองว่าผู้ติดยาคือผู้ป่วย ก็มีคนรับผิดจากคดียาเสพติดน้อยลง

อีกตัวอย่างหนึ่งคือการเปลี่ยนแปลงการเรียนการสอนช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อป้องกันการติดเชื้อ หลายโรงเรียนใช้การเรียนออนไลน์ และเมื่อต้องเรียนออนไลน์จึงจำเป็นต้องมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเมื่อต้องมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เด็กจำนวนมากจึงถูกผลักออกจากระบบการศึกษา และไม่ได้ถูกดึงกลับเข้ามาอีก

“ช่วงโควิดทำให้พวกเขาไม่มีอุปกรณ์การเรียนที่เป็นพวกสื่อออนไลน์ ด้วยครอบครัวอาจจะไม่มี ก็มีเด็กแบบนี้ต้องออกจากโรงเรียนกลางคันเพราะไม่มีสื่อออนไลน์ที่จะใช้ หรือบางคนที่พ่อแม่ไม่สามารถที่จะมีรายได้เพียงพอในการไปโรงเรียน” คุณยุทธศักดิ์กล่าว

คุณยุทธศักดิ์กลาวว่า ผลของพลวัตทางสัคมที่เปลี่ยนแปลงในช่วงโควิด-19 ทิ้งรอยแผลระยะยาวเอาไว้ในสังคม สถานภาพทางเศรษฐกิจของผู้ปกครองหลายคนไม่ได้ฟื้นตัวหลังโรคระบาดคลายไป ทำใหเด็กหลายคนไม่ได้กลับเข้าสูระบบการศึกษา และอาจส่งผลต่อคุณภาพประชากรอีกหลายทศวรรษต่อจากนี้

“ลองมองภาพหลังจากนี้อีกประมาณ 10 ปี ความบกพร่องที่เกิดขึ้นเหล่านี้ มันจะส่งต่อกับครอบครัว ถ้าเขาเป็นหัวหน้าครอบครัวแล้วยังตั้งตัวตั้งหลักไม่ได้ ก็จะเป็นอุปสรรค มันเหมือนที่มีคำว่า “จนข้ามรุ่น” น่ะครับ”  คุณยุทธศักดิ์ว่า

การที่เด็กหลุดออกจากการศึกษานี้เองเป็นหนึ่งในตัวแปรหลักที่จะกำหนดทิศทางอนาคตของเด็กและเยาวชน

การศึกษา กุญแจหลักที่ทำให้เด็กไม่ทำผิด

เมื่อถามผู้อำนวยการสถานพินิจว่า ในจำนวนเด็กที่เค้ามาพึ่งพิง มีจำนวนมากแค่ไหนที่หลุออกจากระบบการศึกษาอยู่กอนแล้ว คำตอบคือ “แทบทั้งหมด”

“เด็กที่อยู่ในนี้คือส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดหลุดออกจากระบบมาหมดเลย มีบ้างครับที่บางคนกำลังเรียนอยู่ แต่เป็นส่วนน้อย [...] เพราะว่าเมื่อเด็กอยู่ในโรงเรียน ก็ยังจะมีเกราะป้องกันอยู่ แต่พอเด็กเริ่มไม่ไปโรงเรียน ก็จะมีความเสี่ยง เรานึกถึงไข่แดงไข่ขาวครับ เด็กที่อยู่ในโรงเรียนอยู่จะเหมือนไข่แดง เด็กที่หลุดจากโรงเรียนเป็นไข่ขาว มีความเสี่ยงมากกว่าเด็กในโรงเรียนหรือในระบบที่จะกระทำผิด”

เทคโนโลยีเปิดโอกาสให้เด็กกระทำผิดได้มากขึ้น และไวขึ้น คุณยุทธศักดิ์บอกว่า เมื่อครั้งเขาบรรจุเป็นข้าราชการใหม่ ๆ หรือราว 20 ปีก่อน เด็กในสถานพินิจส่วนมากเป็นเด็กม. ปลาย กลับกัน ตอนนี้อายุเฉลี่ยของเด็กในสถานพินิจเทียบชั้นม.3 เท่านั้น ส่วนที่อายุเด็กก็มีทั้งม.1 และป.6 

นอกจากนี้คุณอุดมยังชี้ว่า มีสัดส่วนผู้หญิงในคดีของศาลเยาวชนเพิ่มมากขึ้น โดยความผิดที่เกิดขึ้นเพิ่มเข้ามาพร้อมยุคเฟื่องฟูของเทคโนโลยีและพบได้ค่อนข้างบ่อยในกลุ่มเด็กหญิงคือการหลอกลวงทางออนไลน์ เป็นเครื่องยืนยันว่า เทคโนโลยีเปิดทางให้เยาวชนทำผิดได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น

นอกจากการกระตุ้นของไวรัสและเทคโนโลยี สภาพเศรษฐกิจก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ผู้อำนวยการและผู้พิพากษาสมทบชี้ว่า ส่งผลต่อการรักษาเก้าอี้ในระบบการศึกษาไว้ เพราะค่าใช้จ่ายมีมากกว่าค่าเทอม และอุปกรณ์การเรียนก็แพงกว่าเงินไม่กี่ร้อยบาท

“การศึกษาที่ว่าฟรีถูก ที่ว่าดีเนี่ย มันยังไม่มีอยู่จริง เพราะฉะนั้น ก็มีหลายครอบครัวที่เด็กไม่สามารถอยู่ในระบบการศึกษาปกติได้” คุณอุดมกล่าว

อ้างอิงจากรายงานพิเศษของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ที่เก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 2562-2567 พบว่า เด็กไทยอายุ 3-18 ปีกว่า 1.02 ล้านคน ไม่มีข้อมูลอยู่ในระบบการศึกษา รายงานฉบับนี้ของกสศ. พบว่า “ความยากจน” เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการหลุดออกจากระบบการศึกษา มีสัดส่วนเป็น 46.7% หรือเท่ากับครอบครัวหลายแสนครัวเรือนที่ไม่สามารถส่งลูกหลานเรียนสูงกว่ารุ่นพ่อแมได้

“ค่าเทอมไม่ได้ไม่ได้เป็นจุดจบของเรื่องเรียน มีค่าใช้จ่ายประจำวันด้วย อื่น ๆ ด้วยที่ทำให้เด็กต้องออกมา [จากระบบการศึกษา] หรือบางคนเรียนแล้วไม่ชอบเลย หรือเรียนแล้วไม่สนุกเลย เรียนแล้วรู้สึกว่าไม่เข้าใจ รูปแบบการเรียนทำให้เขารู้สึกว่าอยากจะหนี มีหมดเลยครับ” คุณยุทธศักดิ์อธิบาย

ดึงเด็กกลับเข้าระบบการศึกษา

เพราะจุดประสงค์ของศาลเยาวชนและสถานพินิจ-ศูนย์ฝึกและอบรมคือ การฟื้นฟูให้เด็กที่กระทำผิดกลับคืนสู่สังคม และกลับเข้าสู่สังคมอย่างมีคุณภาพ ทั้งศาลและสถานพินิจเองจึงมีแนวทางต่าง ๆ ทั้งทำเองและร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกเพื่อสนับสนุนการศึกษาของเด็ก

ข้อแรกสะท้อนผ่านกระบวนการศาล ที่มีผู้พิพากษาสมทบที่เข้าใจบริบทสังคมในพื้นที่นั้น เพิ่มความยุติธรรมให้แก่เด็กและเยาวชน และมีทางเลือกให้ครอบครัวหรือชุมชนสามารถดูแลเด็กได้เองหากมีความพร้อม ซึ่งศาลจะพิจารณาจากการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองระหว่างกระบวนการยุติธรรม

การให้ทางเลือกแก่ครอบครัว-ชุมชนในการดูแลเด็กก่อนตัดสินพิพากษา ช่วยลดจำนวนคีของศาลเยาวชนจังหวัดชลบุรีไปถึง 10 เท่า และทำให้เด็กที่มีคำพิพากษาติดตัว หรืออยู่ภายใต้การดูแลของกรมพินิจลดลง

“เมื่อผมเข้ามา ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดชลบุรีมีจำนวนคดีของเด็กนำโด่งเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศนะ อยู่ในลำดับ 1-3 มีจำนวนคดีเนี่ยหลักพัน แต่หลังจากที่เรามีกฎหมายพระราชบัญญัติศาลเยาวชนที่ออกแบบมา มีกลไกเครื่องมืออย่างที่ผมเล่า [...] เราพบว่า จำนวนคดีที่ในที่สุดสั่งฟ้องเข้ามาในศาลลดลงถึง 10 เท่า” คุณอุดม ผู้พิพากษาสมทบอธิบาย 

ห้องเรียนหลังรั้วสถานพินิจ

อีกด้านหนึ่งคือ สถานพินิจที่มีหน้าที่รักษาหรือดึงกลับเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษา คุณอนุชา เพียวสูงเนิน นักวิชาการอบรมและฝึกวิชาชีพชำนาญการ หรือที่เด็กๆ เรียกกันว่า “พ่อต้นชา” อธิบายว่า เขาและครูท่านอื่น จะช่วยประสานกับโรงเรียน (ในกรณีที่เด็กยังไม่หลุดออกจากระบบการศึกษา) รับข้อสอบ และการบ้านให้เด็กทำ เพื่อให้สามารถสอบผ่านชั้นที่ศึกษาอยู่ได้ 

คุณธันยาภัทร์  เสมาทอง นักวิชาการอบรมและฝึกวิชาชีพหรือ "แม่ไผ่" เสริมว่า หากเด็กมีความจำเป็นต้องไปฝึกงาน สถานพินิจก็จะสนับสนุนด้วยการไปรับส่งสถานที่ฝึกงานด้วยเช่นกัน แต่จะเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นหลังใช้เวลาครึ่งหนึ่งตามที่ศาลสั่งในสถานพินิจแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อความต่อเนื่อง เพื่อให้เด็กไม่เสียโอกาสทางการศึกษา

แต่ในกรณีที่เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา ปัญหาในการพาตัวเด็กกลับเข้าไปคือ “การต้องซ้ำชั้น” เรียนกับคนอายุน้อยกว่า ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าสร้างความอึดอัด และอาจถึงขั้นเขินอายให้กับเด็ก ๆ กรมพินิจฯ จึงจัดให้มีหลักสูตรการเรียนรู้ภายในที่สามารถเทียบวุฒิการศึกษาของหลักสูตรแกนกลาง (สพฐ.) ได้ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ หลักสูตรของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) หรอที่เรารู้จักกันในชื่อเดิม กศน. และหลักสูตรศูนย์การเรียนรู้ (ศกร.) ที่มีความยืดหยุ่นมากกว่า แต่เด็กคนไหนจะเรียนตามระบบใดต้องใช้กาพิจารณาจากการจำแนกการศึกษา และนักวิชาชีพของสถานพินิจอย่างถี่ถ้วน

“เด็กทุกคนไม่มีการเหมาเข่ง ทุกคนมีแผนของตัวเอง” คุณยุทธศักดิ์กล่าว

เมื่อรับเด็กเข้ามาอยู่ในการดูแล เจ้าหน้าที่อย่าง นักสังคมสงเคราะห์ พยาบาลวิชาชีพ และนักจิตวิทยาคลีนิกจะมีส่วนร่วมในการพิจารณาร่วมกับนักวิชาการอบรมและฝึกวิชาชีพ ที่ทำหน้าที่ “ครูสามัญ” ของเด็กว่าควรเรียนในหลักสูตรสกร. ที่เน้นวิชาสามัญ หรือศกร. ที่มีความยืดหยุ่นกว่า รวมถึงวิเคราะห์ว่าเด็กอยู่ในระดับชั้นไหน โดยดูจากร่องรอยการศึกษา อาทิ ความสามารถในการอ่านเขียน ระดับเชาว์ปัญญา พัฒนาการ จนถึงสุขภาพจิต

ในสถานพินิจชลฯ ทุกวันอังคาร เด็ก ๆ จะแยกกันไปเรียนสกร. หรือศกร. ตามแผนของตน ทั้ง 2 หลักสูตรแบ่งเป็น 4 ระดับชั้นคือ: ไม่รู้หนังสือ, ประถมศึกษา, มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย ระยะเวลาการเรียนจนจบหลักสูตรของแต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับพื้นฐานและพัฒนาการของแต่ละบุคคล

ส่วนวันจันทร์ต้นสัปดาห์ และวันพุธ-ศุกร์ เด็ก ๆ สามารถเรียนตามหลักสูตรที่ตนสนใจ มีตั้งแต่ ช่างศิลป์ ช่างตัดผม คหกรรม ดนตรี และซ่อมบำรุง และกิจกรรมเสริมทักษะที่สำคัญให้กับพวกเขา

หลังสูตรงานช่างดูจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เพราะก้าวเข้ารั้วสถานพินิจฯ ไปได้ไม่กี่ก้าว เราจะได้ยินเสียงเครื่องจักร และอุปกรณ์การช่างกำลังทำงาน เด็กชายวัย 14-17 หลายคนประจำการอยู่บนหลังคาสีน้ำเงิน คอยส่งอุปกรณ์และทำตามคำแนะนำของครูสถานพินิจ ซ่อมหลังคาส่วนหนึ่งของอาคารชั้น 1 ที่ไม่สูงมาก

ทั้งการเทปูนในห้องเรียน ประกอบวงกบประตู ติดกระจก ปูกระเบื้อง และมุมต่าง ๆ ในอาคารต่างเป็นบทเรียนในวิชางานช่าง ที่ครูสถานพินิจฯ และครูงานช่างจากภายนอก ผลัดเปลี่ยนกันมาสอนเด็ก ๆ 

ห้องเรียนออนไลน์กลายเป็นห้องเรียนคหกรรมที่เด็ก ๆ ฝึกทำสบู่จากกากกาแฟ บางครั้งก็เป็นขนมอย่าง ขนมลูกตุ้ม หรือทองม้วนสดกลิ่นหอม และที่ห่างไป 2 ห้องคือ ห้องซ้อมดนตรี มีกีตาร์ เบส กลองชุด และเด็ก ๆ ซ้อมดนตรีกันอยู่ คลอด้วยเสียงเครื่องจักรจากเพื่อนที่กำลังซ่อมหลังคาจากภายนอก

ห้องซ้อมขนาดราว 2 ห้องเรียนนี้เองเป็นที่ซ้อมของวงดนตรี “พินิจชล” ซึ่งได้รางวัลชนะเลิศ DJOP Music Contest ปี 2567

ผู้เขียนยังได้ฟังเสียงกีตาร์และพูดคุยกับเด็กชายอั๋น ผู้ไม่มีพื้นฐานด้านดนตรีมาก่อนเลย แต่ฝึกฝนจนสามารถเล่นกีตาร์ได้อย่างชำาญ และมีความตั้งใจอยากเล่นดนตรีต่อไปในอนาคต

เด็ก ๆ ในสถานพินิจชลฯ หลายคนเรียกครู นักจิตฯ และนักสังคมว่า “แม่” หรือ “พ่อ” 

นอกจากนี้ สถานพินิจชลบุรียังมีกระบวนการเตรียมความพร้อมเด็กทุกคนก่อนได้รับการปล่อยตัว ให้เด็กพร้อมกลับไปอยู่กับครอบครัวเดิมมากที่สุด คุณฉัตรสุดา ชูแก้ว นักสังคมสงเคราะห์ปฏิบัติการสถานพินิจชลบุรีอธบาย โดยครูที่ปรึกษา ทีมีอัตราส่วนครู:เด็ก อยู่ที่ 1:10 คน และนักสังคมสงเคราะห์จะคุยกับเด็กแต่ละคน ว่าต้องการทำอะไรต่อในอนาคต

"เด็กเขาก็จะมาบอก 'แม่ครับ ครูครับ ผมอยากเรียนหนังสือ' หรือ 'ผมอยากทำงาน' 'ผมอยากมีเงิน' อะไรอย่างนี้ เด็กแต่ละคนไม่มีสูตรสำเร็จในการช่วยเหลือค่ะ เราจะต้องดูเป็นรายบุคคล" เธอยกตัวอย่าง

แม้คนทำงานจะใจรักและทุ่มเทมากเพียงใด แต่การทำงานของหน่วยงานภาครัฐมีข้อจำกัด ซึ่งผู้เขียนคงยังไม่ลงรายละเอียดในบทความนี้ว่าเป็นเพราะงบประมาณ การประสานงาน หรือสมมติฐานอื่นใด แต่ปัจจุบัน การแก้ปัญหาคือการใช้ควมร่วมมือของภาคเอกชน 

"ในการช่วยเหลือ เราทำงานคนเดียวไม่ได้ เราจะต้องมีองค์กร ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ แล้วก็เอกชน เหมือน KFC ที่เข้ามา" คุณฉัตรสุดากล่าว

KFC ยื่นทางเลือก ทำงานพร้อมเรียน ได้เงิน ได้วุฒิ

KFC คือหนึ่งในภาคเอกชนที่ทำโครงการด้านสังคมกับสถานพินิจจังหวัดชลบุรีภายใต้ชื่อ “KFC Bucket Search” ให้เด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษากลับเข้ามาในระบบ คุณแจเน็ต รุ้งสิทธิกุล Senior Marketing Manager KFC Thailand เล่าให้ผู้เขียนฟังวาทำไมท่ามกลางปัญหาสังคมมากมาย ที่บริษัทสามารถเลือกทำโครงการ CSR ได้ง่าย ๆ พวกเขาจึงเลือกทำเรื่องการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษา ซึ่งมีความท้าทายมาก

แจเน็ต รุ้งสิทธิกุล Senior Marketing Manager KFC Thailand

“เรามานั่งดูกันว่าปัญหาของประเทศไทยคืออะไร ซึ่งหนึ่งในปัญหาสำคัญที่เป็นต้นตอของทุกอย่างในสังคม ไม่ว่าจะเป็นความยากจน เศรษฐกิจ หรือการพัฒนาประเทศก็คือเรื่องการศึกษา [...] ซึ่งก็เชื่อมโยงกับสปิริตของผู้พันแซนเดอร์ส ผู้ก่อตั้ง KFC ด้วยตัวเขาเองก็เป็นเด็กที่เรียนไม่จบ แล้วก็ต้องทำงานสารพัดเป็นร้อยเป็นพันอาชีพกว่าจะประสบความสำเร็จได้ เพราะฉะนั้น แก่นของเราคือความเชื่อที่ว่าทุกคนมีศักยภาพ (Potential) เราก็เลยตั้งใจจะช่วยเด็กกลุ่มนี้” เธออธิบาย

“คือเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาไปแล้ว ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังไม่ค่อยมีใครเข้าไปโฟกัสเท่าไหร่ เพราะมันยากมากในการตามหาเด็กกลุ่มนี้ พอเขาหลุดจากระบบไปแล้ว แม้แต่ชื่อก็จะไม่มีในระบบ การตามหาจึงไม่ใช่แค่การค้นหา แต่ต้องทำงานร่วมกับชุมชนเลยค่ะ”

โครงการ Zero Drop Out ของ KFC เป็นความร่วมมือของบริษัทกับ กสศ. และศูนย์การเรียนรู้ปัญญากัลป์ ปัจจุบันมีเด็กเข้าร่วมโครงการราว 4-5 ร้อยคน เด็กผู้เข้าร่วมโครงการมีทางเลือก 2 ทางคือเรียนต่อ ซึ่งจะมีทุนการศึกษาหัวละ 12,000 บาท หรือเรียนไปทำงานไป

“[การทำงาน] ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็น KFC เท่านั้นนะคะ เราช่วยเด็กหลากหลายมาก บางคนชอบด้านช่างยนต์ เราก็ส่งไปฝึกงานกับบริษัทยานยนต์ หรือบางคนอยากเปิดร้านกาแฟ เราก็ให้ทุนไปเรียนคอร์สบาริสต้าแล้วเอาเงินไปซื้ออุปกรณ์ได้”

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า ปัญหาหนึ่งของการกลับเข้าระบบการศึกษาคือ เด็กหลายคนไม่สบายใจที่จะเข้าไปเรียนในโรงเรียนอีกครั้ง ทั้งที่อายุเกินเพื่อนที่นั่งประกบซ้ายขวา หรือบางคนอาจมีเงื่อนไขด้านการเงินที่บีบให้ต้องหางานโดยเร็ว

“พอเราทำไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มเข้าใจอินไซต์ของเด็กมากขึ้นว่าเด็กหลายคนอยากเป็นผู้ประกอบการ แล้ว KFC เราเองก็สามารถเป็นอีกทางเลือกหนึ่งได้ เพราะเรามีโมเดลการทำงานที่จริงจังมาก” คุณเจเน็ตอธิบาย และกล่าวถึงหลักสูตร "ทักษะอาชีพและการประกอบการ" ที่เด็กไม่ต้องเลือกระหว่างการเรียนและทำงาน เพราะการทำงานในร้าน KFC ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

คุณฉัตรสุดาอธิบายกระบวนการคัดเลือกเด็กในสถานพินิจว่า ขั้นแรกคือความสมัครใจ โดยเจ้าหน้าที่สถานพินิจจะประชาสัมพันธ์โครงการให้เด็ก ๆ ทราบ เมื่อเด็กแสดงความสนใจผ่านครูที่ปรึกษา ครูจะทำการคัดเลือกตามเกณฑ์ที่กำหนด ได้แก่ เด็กต้องอยู่ในสถานพินิจมาแล้วเกินครึ่งหนึ่งของระยะเวลาที่ศาลกำหนด และมีความประพฤติดี

จากนั้น เด็กที่ผ่านการคัดเลือกจะต้องเข้าสัมภาษณ์กับคุณฉัตรสุดา เพื่อสอบถามความเข้าใจและประสบการณ์เกี่ยวกับการทำงาน และจะได้รับการพาไปเวิร์กชอป รวมถึงไปยังสถานประกอบการจริงของทาง KFC เพื่อให้เห็นภาพการทำงานชัดเจนยิ่งขึ้น ก่อนตัดสินใจเข้าร่วม

เด็กที่เข้าร่วมจะได้ทำงานที่ร้าน KFC สาขาที่ตนสะดวกเป็นเวลา 1 ปี และได้วุฒิการศึกษาเทียบชั้นม.6 หนึ่งในนั้นคือ น้องเชฟ วัย 16 ปี ที่อยู่ที่สถานพินิจชลบุรีมาแล้ว 7 เดือน และทำงานที่ร้าน KFC สาขาเทสโก้โลตัสชลบุรีเข้าเดือนที่ 2 แล้ว

งานของน้องเชฟคือกุ๊ก และจะวนไปทำหน้าที่อื่นหลังจากนี้ แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำคือ

“ต้องคลุก เอาไก่คลุกกับแป้งก่อนครับ แล้วก็พอคลุกเสร็จก็ยกไก่ลงทอดเลยครับ […] มีที่ยกครับ […] ก็หนักอยู่ครับ […]”

เชฟ วัย 16 ปี

เชฟเป็นคนขี้อาย เป็นคนชอบวาดรูป และเลือกเรียนศิลปะขณะที่อยู่ที่สถานพินิจชลฯ เชฟสนใจโครงการของ KFC ส่วนหนึ่งเพราะอยากทำงานที่ได้เจอคน และอีกส่วนคือชอบทานไก่ทอด KFC ตั้งแต่เด็ก ๆ ส่วนที่ชอบตอนนี้นอกจากไก่ทอดคือการทำงานและได้วุฒิการศึกษา

“สิ่งที่ดีก็คือ ทำงานไปก็ได้วุฒิด้วยครับ ไม่ต้องกลับไปเรียนในระบบครับ ทำงานปีนึงก็ได้วุฒิการศึกษาชั้น ม.ปลายเลย” เชฟเล่า

แม้ว่าเดือนแรกจะต้องปรับตัวมาก และงานค่อนข้างหนัก แต่ผ่านไปราว 1 เดือนเชฟก็ปรับตัวได้มากขึ้น 

10/10 คือคะแนนที่เชฟให้กับการทำงานครั้งนี้ ส่วนใหญ่เพราะการมีเพื่อนร่วมงานที่ดี และคอยให้การช่วยเหลือทุกอย่าง ประสบการณ์ทำงาน 2 เดือนแรกทำให้เด็กชายวัย 17 มีเป้าหมาย

“โตขึ้นเหรอครับ ก็อยากมีงานที่มั่นคง ทำไปเรื่อย ๆ ครับ […] ก่อนหน้านี้ผมน่าจะไม่มีเป้าหมายในชีวิต น่าจะไม่คิดเรื่องการออกมาทำงานอะไรอย่างนี้ครับ […] ใช่ครับ ทำให้ผมอยากมีงานทำ”

การอยู่ในสถานพินิจอาจจะไม่สามารถเปลี่ยนเด็กทุกคนได้ภายในระยะเวลา 6 เดือนหรือ 2 ปี เพราะอุปสรรคส่วนใหญ่คือการวนกลับเข้าไปในวังวนเดิม คุณยุทธศักดิ์กล่าวว่าปัจจัยหลักในการดึงเด็กให้กระทำผิดซ้ำคือ ครอบครัวที่มีความใส่ใจน้อยอย่างเดิม เพื่อนกลุ่มเดิม และการไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ซึ่งจากประสบการณ์ของผอ. บอกว่า เด็กจะตัดสินใจทำผิดได้ง่ายกว่า

"ต้องเข้าใจว่าสถานพินิจเราเป็นการบังคับบำบัด บังคับโดยสิ่งแวดล้อม แล้วสิ่งแวดล้อมนำพาเขาไปในทิศทางแบบนั้น สภาพแวดล้อมที่เขาอยู่ อยู่กับเราเนี่ย เขามีอาหารครบ 3 มื้อ เขามีความปลอดภัยในชีวิต เขามีคนเอาใจใส่เขา สมมติว่าเขาโดนรังแก เขาก็สามารถฟ้องพ่อต้นชา ฟ้องแม่ไผ่ได้ [...] ถามว่าปล่อยออกไปในเดือนสองเดือนแรก ผมเชื่อเลยว่าเด็กคิดแบบที่เราสอน แต่พอกลับไปอยู่ในสังคมจริง ต้องเข้าใจว่าเด็กบางคนการประมวลกระบวนการคิดของเด็กแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน" คุณอนุชากล่าว

นั่นทำให้สถานพินิจชลบุรีทีการวางแผนและติดตามผลหลังปล่อยเป็นเวลา 1 ปี เข้มงวดต่างกันไปแล้วแต่ความเสี่ยงของเด็กแต่ละคน แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เด็กที่เคยทำพลาด เปลี่ยนทัศนคติและลดโอกาสการกระทำผิดซ้ำ คือการกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา 

เชฟตั้งใจว่าจะใช้เวลาที่เหลืออีก 10 เดือนเก็บเงินไปเรื่อย ๆ อยากทำงานกับ KFC ต่อถ้ามีโอกาส หรือถ้าเปลี่ยนใจขึ้นมา ก็อยากรับซื้อผ้ามาขาย นอกจากนี้ยังมีอีกทางเลือกในใจเชฟ นั่นคือการกลับไปเรียน คณะที่เชฟ นักฟุตบอลวัย 16 ตั้งใจไว้คือ คณะด้านกีฬา และอยากบอกเพื่อน ๆ ในสถานพินิจชลบุรี ให้คว้าทุกโอกาสที่เข้ามา

“ก็อยากให้ทุกคนที่อยู่ข้างในก็ทำตัวดี ๆ ครับ ถ้าโอกาสมาอยากให้คว้าไว้ครับ มันไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับโอกาสครับ” เชฟกล่าว


แชร์
ห้องเรียนหลังรั้วสถานพินิจ: เด็กเคยทำผิดไปต่ออย่างไร?