ทรัมป์ไฟเขียวขยายเหมือง เร่งการผลิตส่งออกเอเชีย
เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน กระทรวงมหาดไทยอนุมัติโครงการขยายการทำเหมือง กระตุ้นการส่งออกถ่านหินไปญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ การอนุมัติเป็นไปตามแนวทางคำสั่งฉุกเฉินด้านพลังงานของทรัมป์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
โครงการดังกล่าวเป็นของ Signal Peak Energy ซึ่งเป็นเหมืองถ่านหินขนาดใหญ่ในเมืองราวด์อัพ รัฐมอนทานา ดำเนินการภายใต้บริษัทแม่ Global Mining Group, LLC บริษัทที่ให้บริการด้านการทำเหมือง เช่น การขนส่ง โลจิสติกส์ และการบำรุงรักษาเหมือง
คำอนุญาตดังกล่าวทำให้ Signal Peak Energy สามารถขุดถ่านหินของรัฐบาลกลางได้มากกว่า 22.8 ล้านเมตริกตัน และถ่านหินที่ไม่ใช่ของรัฐบาลกลางอีก 34.5 ล้านตัน นอกจากนี้ยังสามารถขยายอายุการใช้งานของเหมืองถ่านหิน Bull Mountains ได้อีก 9 ปี
รัฐมนตรีมหาดไทย ดั๊ก เบอร์กัม ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานร่วมของคณะมนตรีพลังงานสูงสุดของทรัมป์ กล่าวว่า การเปิดทางให้เข้าถึงถ่านหินของรัฐบาลกลางมากขึ้น ช่วยให้สหรัฐฯ เสริมสร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรในต่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น
“ภาวะผู้นำของประธานาธิบดีทรัมป์ในการประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติ ทำให้เราสามารถดำเนินการได้อย่างเด็ดขาด ลดความล่าช้าจากระบบราชการ และรักษาอนาคตของอเมริกาไว้ผ่านการพึ่งพาพลังงานในประเทศและการส่งออกเชิงยุทธศาสตร์” เบอร์กัมกล่าว
เมื่อวันที่ 20 มกราคม ทรัมป์ประกาศแถลงการณ์ขยายการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ รวมถึงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงาน พร้อมทั้งยกเลิกการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และถอนสหรัฐฯ ออกจากความร่วมมือระดับนานาชาติเพื่อสิ่งแวดล้อม
Signal Peak Energy ได้ยื่นแผนการขยายเหมืองถ่านหินของตนให้แก่สำนักงานฟื้นฟูและควบคุมการทำเหมืองผิวดิน (Office of Surface Mining Reclamation and Enforcement) ตั้งแต่ปี 2020 แต่แผนดังกล่าวก็ค้างอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐบาลกลางมาตั้งแต่นั้น
ลดขั้นตอนการขออนุญาตทำเหมืองเหลือ 28 วัน
เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 ทรัมป์ประกาศดำเนินกระบวนการอนุมัติโครงการพลังงานและเหมืองแร่บนที่ดินและน่านน้ำของรัฐบาลกลางภายใต้ภาวะฉุกเฉิน ลดระยะเวลาพิจารณาจากที่เคยใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปี เหลือไม่เกิน 28 วัน
ตามแถลงการณ์ของกระทรวงมหาดไทย กระบวนการอนุมัติแบบฉุกเฉินนี้จะครอบคลุมเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหิน รวมถึงยูเรเนียม พลังงานความร้อนใต้พิภพ แร่สำคัญ เชื้อเพลิงชีวภาพ และพลังงานน้ำจลน์ (kinetic hydropower) แต่ไม่รวมพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ทั้งที่พลังงานแสงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานที่เติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐฯ ส่วนพลังงานลม ทรัมป์เคยวิจารณ์ว่าแพงและไม่น่าดู
ก่อนหน้านี้ การพิจารณาอนุญาตโครงการด้านพลังงานบนที่ดินของรัฐบาลกลางอาจใช้เวลาหลายปี เช่น กรณีการขอขยายเหมืองถ่านหินของ Signal Peak Energy ที่ค้างมาตั้งแต่ปี 2020
ดั๊ก เบอร์กัม กล่าวว่าการปรับลดวันอนุมัติให้สอดคล้องกับนโยบายพลังงานฉุกเฉินของทรัมป์เป็นสิ่งจำเป็น
“สหรัฐฯ รอไม่ได้อีกต่อไปแล้ว [...] ด้วยการลดเวลาการรออนุมัติจากหลายปีเหลือเพียง 28 วัน กระทรวงจะดำเนินงานด้วยความเร่งด่วน มุ่งมั่น และชัดเจน เพื่อทำให้ความเป็นอิสระด้านพลังงานของชาติเข้มแข็ง”
เบอร์กัมได้เดินทางร่วมกับรัฐมนตรีพลังงาน คริส ไรต์ และผู้อำนวยการสำนักงานพิทักษ์สิ่งแวดล้อม ลี เซลดิน ไปยังรัฐอะแลสกาในสัปดาห์นี้ เพื่อส่งเสริมโครงการก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) รวมถึงการส่งออกพลังงานอื่น ๆ ที่มีจุดหมายปลายทางในตลาดเอเชีย
นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่า การอนุมัติโครงการด้านพลังงานภายใน 28 วัน อาจส่งผลให้การผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าสหรัฐฯ ยังคงคว่ำบาตรรัสเซียหลังการรุกรานยูเครน
นักสิ่งแวดล้อมค้านขยายเหมือง – อนุมัติ 28 วัน
เหมือง Bull Mountains ในมอนทานา ตั้งอยู่ในเขต Musselshell และ Yellowstone มีคนงานประมาณ 250 คน โดยส่วนใหญ่ผลิตถ่านหินเพื่อส่งออกไปยังญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
กลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมคัดค้านการขยายเหมืองมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากกังวลว่า การเพิ่มปริมาณการผลิตถ่านหินจะส่งผลต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการใช้ทรัพยากรน้ำในพื้นที่
แอนน์ เฮดจ์ส กรรมการบริหารศูนย์ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมมอนทานา (Montana Environmental Information Center) กล่าวในแถลงการณ์ว่า
“ช่างไร้สาระสิ้นดี ที่เราต้องสังเวยสภาพอากาศ ทรัพยากรน้ำ สัตว์ป่า และกิจการปศุสัตว์ในพื้นที่ เพื่อส่งออกถ่านหินไปต่างประเทศให้คนชาติอื่นเผาใช้”
สำหรับการอนุมัติโครงการพลังงานบนที่ดินของรัฐบาลกลางภายใน 28 วันนั้น กลุ่มนักสิ่งแวดล้อมก็วิจารณ์อย่างกว้างขวาง แม้กระทรวงมหาดไทยจะระบุว่า จะใช้วิธีการทางเลือกเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่มีมานานหลายสิบปี เช่น กฎหมายว่าด้วยนโยบายสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (NEPA) กฎหมายว่าด้วยสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ และกฎหมายอนุรักษ์โบราณสถานแห่งชาติ
อย่างไรก็ตาม กลุ่มสิ่งแวดล้อมอย่าง Center for Biological Diversity ตำหนิมาตรการนี้ว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทพลังงานฟอสซิล โดยแลกกับสุขภาพของประชาชน ที่ดินของรัฐ และสภาพภูมิอากาศ
แรนดี สปิวแวค ผู้อำนวยการด้านที่ดินสาธารณะขององค์กร กล่าวในแถลงการณ์ว่า
“สิ่งที่เรียกว่ากระบวนการฉุกเฉินนี้ แท้จริงแล้วคือการปูทางให้บรรษัทเร่งผ่านการอนุมัติ โดยไม่สนใจว่าจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้คน ที่ดินของรัฐ และสภาพภูมิอากาศอย่างไร”
