การเงิน

อนาคตการลงทุนในจีน-เวียดนาม ในปี 2024

28 ธ.ค. 66
อนาคตการลงทุนในจีน-เวียดนาม ในปี 2024

ปี 2023 กำลังจะจบลง และกำลังก้าวสู่ศักราชใหม่ ปี 2024 ภาวะการลงทุนของโลกในปี 2023 เราต้องเผชิญกับอุปสรรอะไรบ้าง และในปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ เราจะต้องเผชิญกับอะไรในโลกแห่งการลงทุน จีน เวียดนามยังเป็นตลาดที่สดใสหรือไม่ อย่างไรในปี 2024 นี้

SPOTLIGHT พามาดูมุมมองของ คุณตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ซีอีโอ บลจ.จิตตะ เวลธ์ จำกัด มองภาพรวมของการลงทุนปีนี้ ปีหน้าเป็นอย่างไร อนาคตการลงทุนในจีน และเวียดนามยังคงสดใสและไปต่อได้หรือไม่ 

ประเมินภาพรวมการลงทุนในปี 2566 เป็นอย่างไร

ปัจจัยสำคัญของโลกการลงทุนอยู่ที่การดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐฯ เป็นหลัก ซึ่งการประชุมครั้งสุดท้ายของปี 2566 ธนาคารกลางสหรัฐคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมในช่วง 5.25%-5.5% ตามที่นักลงทุนได้คาดการณ์ไว้ นอกจากผลการประชุม Fed ยังเผยแพร่ ‘dot plot’ ที่มีการแสดงคาดการณ์ของผู้กำหนดนโยบายว่าอัตราดอกเบี้ยในอนาคตว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยถึง 0.75% หรือ 3 ครั้งในปีหน้า และตลาดคาดเดาว่าจะปรับลดในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 ซึ่งช่วงนี้ตลาดได้รับรู้ข่าวดังกล่าวไปเรียบร้อยแล้ว จะเห็นได้ว่าดัชนี Dow Jones ทำจุดสูงสุดในประวัติการณ์ทะลุ 37,300 จุด

ขณะที่ดัชนี S&P500 ก็ทำ New High ส่งท้ายปีไปเรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกัน ซึ่งในปีนี้ ดัชนี S&P500 ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยเหตุผลหลักๆ จากกลุ่มหุ้น Magnificent 7 โดยปรับบวกไปเฉลี่ยถึง 71% ตั้งแต่ต้นปีตามข้อมูลของ Goldman Sachs และมูลค่าทั้ง 7 ตัวนั้นมีนํ้าหนักใน S&P500 ถึง 31% และมีค่า P/E เฉลี่ยถึง 29 เท่า ล่าสุด Goldman Sachs ยังได้ปรับเป้าหมายดัชนี S&P500 อีกครั้ง โดยได้มีการให้เป้า S&P500 ถึง 5,100 จุดหรือคิดเป็น upside อีกถึง 8.5% โดยประมาณ

ปี 2567 โอกาสการลงทุนหุ้นโลกอยู่ตรงไหน

จะเห็นได้ว่า หุ้นสหรัฐฯ ที่แม้จะมีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อไปได้ในปี 2567 แต่ในแง่มูลค่าก็ถือว่าอยู่ในระดับสูงมากแล้ว โดยเฉพาะนักลงทุนที่ยังไม่เคยลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ มาก่อน ดังนั้น หากมองในมุมนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือ VI แล้ว เราควรจะลงทุนอะไรที่ได้ผลตอบแทนเยอะๆ ​ก็จะมองไปที่การลงทุนในประเทศที่กำลังมีวิกฤต ถูกแรงเทขายราคาปรับลดลงมา

แต่มูลค่าที่แท้จริงยังดีอยู่ เพราะในช่วงที่เกิดวิกฤตคนเทขายหุ้นออกมามาก เพราะฉนั้นถ้าเราเจอหุ้นดีราคาถูกมันก็จะวิ่งกลับมาได้เร็ว และถ้าถามว่าจะลงทุนประเทศไหนดี ก็ต้องบอกว่าประเทศที่หุ้นตกเยอะ ที่ยังเติบโตได้ดีและราคาถูก ซึ่ง Jitta Wealth ก็ได้ลองประเมินผลตอบแทนการลงทุนของพอร์ตลูกค้าหลังวิกฤต Covid-19 แล้วพบว่า การลงทุนหลังวิกฤตให้ผลตอบแทนที่ดีมากกว่าภาพรวมตลาดได้จริงๆ ​

ประเทศที่กำลังพูดถึง ก็คือ ​เวียดนาม และจีนที่ราคาปรับตัวลดลงมามาก

"ผมขอยกตัวอย่างประเทศแรก คือ ‘จีน’ เพราะเศรษฐกิจยังดีและมีการเติบโตอยู่ และหากเชื่อในสถิติ​ เราจะเห็นว่า ในอดีตที่ผ่านมา ทุกๆ 10 ปี หุ้นจะขึ้น 7 ปี และจะลง 3 ปี เวลานี้ตลาดหุ้นจีนลงมาแล้ว 3 ปีติด ทั้งที่การเติบโตยังมีอยู่ และราคาก็ค่อนข้างถูก และถ้าเราไปดูหุ้นรายตัวก็เป็นแบบนี้​หลายตัวรายได้และการเติบโตดีอยู่ แต่ราคาต่ำลงในรอบหลายปี"

​อีกปัจจัยหนึ่ง คือ หุ้นหลายๆ ตัว Market Cap ตกลงมาเยอะมากตามภาวะตลาด ในขณะที่เงินสดเพิ่มขึ้น เช่นหุ้นจีนบางตัวมีเงินสดอยู่ประมาณ 20% ของ Market Cap แล้ว เทียบหุ้นสหรัฐฯ อย่าง Apple, Microsoft มี Market Cap ที่สูง แต่เงินสดเทียบกับ Market Cap ที่ 5% แสดงให้เห็นว่าหุ้นจีนบางตัวตอนนี้ราคาถูกผิดปกติแล้ว

ส่องเศรษฐกิจจีนปี 67 โอกาสและกลยุทธ์ลงทุน

หากมองภาพรวมเศรษฐกิจจีน ในปี 2567 ยังมีแนวโน้มชะลอตัวทั้งในระยะสั้นและระยะปานกลาง จากปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะวิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ กำลังซื้อภายในประเทศที่อ่อนแอ และปัญหาภาคส่งออกที่อ่อนแรง ซึ่งจีนไม่ได้เกินดุลบัญชีเดินสะพัดมากเหมือนในอดีต รัฐบาลจีนเองก็พยายามหามาตราการต่างๆ มาช่วยพยุงเต็มที่ เช่น การปรับลด Loan Prime Rate 2 ครั้งในปีนี้ เพื่อกระตุ้นการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ มีการเพิ่มการขาดดุลจาก 3% เป็น 3.8% ธนาคารกลางจีนยังต้องใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายต่อเนื่อง

ล่าสุด Moody’s บริษัทจันอันดับความน่าเชื่อถือรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้ปรับแนวโน้มอันดับเครดิต ของพันธบัตรรัฐบาลจีนจากระดับมีเสถียรภาพ (Stable outlook) ลงเป็นมุมมองเชิงลบ (Negative) ตอกย้ำความกังวลของทั่วโลกเกี่ยวกับระดับหนี้ของจีน ส่วนอันดับความน่าเชื่อถือ (credit rating) ของพันธบัตรระยะยาวยังคงอยู่ที่ระดับ A1 ซึ่งเป็นอันดับเครดิตที่น่าเชื่อถือระดับปานกลางค่อนไปทางสูง

สำหรับปี 2567 จีนอาจจะได้รับผลทางอ้อมจากสหรัฐฯ ที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า อาจมีการพลิกขั้ว​ ‘โดนัลล์ ทรัมป์’ จากพรรค Republican อาจจะกลับมาอีกครั้ง หากเป็นเช่นนั้นก็อาจทำให้ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่าง สหรัฐฯ -จีน ให้มีโอกาสขยายตัวได้ ขณะที่ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ‘โจ ไบเดน’ มีท่าทีเจรจาสร้างความสัมพันธ์เป็นมิตรกับจีนมากขึ้น ซึ่งก็ต้องติดตามสถานการณ์กันต่อไป

หากถามว่า "จีนยังเป็นทางเลือกในการลงทุนที่ดีหรือไม่" เมือเทียบกับคู่แข่งอย่าง​สหรัฐฯ​ก็ ต้องบอกว่า "มีแน่นอนครับ"

จากข้อมูลของ World Bank จีนเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองลงมาจากสหรัฐฯ และคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องเร็วกว่าสหรัฐฯ โดยรัฐบาลได้มีการตั้งเป้าการเติบโตของ GDP ในปี 2567 ไว้ที่ราว 5% ซึ่งสูงสหรัฐฯ ที่ทาง Reuter ได้คาดการณ์การว่าจะเติบโต 1.2% สำหรับปีหน้า

อย่าลืมว่า ประเทศจีนมีประชากรมากกว่า 1.4 พันล้านคน เป็นฐานลูกค้าที่มีศักยภาพมากมายสำหรับธุรกิจและนักลงทุน รายได้ Disposable income ที่เพิ่มขึ้นและความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปกำลังสร้างความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการที่มากขึ้นภายในประเทศควบกับชนชั้นกลางของจีนกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดกลุ่มผู้บริโภคที่ใหญ่และร่ำรวยและมีกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น

จีนกำลังลงทุนมหาศาลในด้านการวิจัยและพัฒนา โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งจะสร้างโอกาสให้กับนักลงทุนในภาคส่วนต่างๆ เช่น เทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ และพลังงานสะอาด

ที่สำคัญ Valuation ของตลาดจีนตอนนี้ถือว่าถูกมาก หุ้นที่ดีแต่โดนกดดันด้วยปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจและรัฐบาลจะยังสามารถเติบโตได้ หากในอนาคตได้รับการสนับสนุนหรือมีนโยบายเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โบรกต่างๆ ในประเทศไทยมีบางส่วนให้คงจีนไว้ที่ Overweight หรือให้ลงทุนจีนเพิ่มในปี 2567 และกองทุนใหญ่อย่าง Blackrock ก็มีการคงจีนไว้ที่ Neutral ไม่ปรับลดหรือปรับเพิ่ม

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า หุ้นจีนก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ระดับหนึ่ง เพราะหลายๆ ตัวก็เหมือน ‘ยังลงไม่สุด’ แต่ว่าธุรกิจอาจจะเติบโตขึ้น ซึ่งถ้าใครมีแผนจะลงทุนระยะยาวอยู่แล้วก็อาจจะเริ่มทยอยลงทุนไปเรื่อยๆ ได้​เนื่องจากค่าเงินหยวนอาจค่อยๆ ปรับตัวแข็งค่าขึ้นตามสภาวะตลาดและ Fund flow ที่ไหลเข้า Emerging market เพิ่มขึ้นจากผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลง หากลงทุนในช่วงนี้ก็จะสามารถคว้าโอกาสในการลงทุนสินทรัพย์จีนในราคาที่ถูกและได้เปรียบในด้านค่าเงินอีกด้วย

ส่องเศรษฐกิจเวียดนามปี 67 โอกาสและกลยุทธ์ลงทุน

อีกหนึ่งประเทศที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ สำหรับตลาดที่น่าลงทุนยามวิกฤติเช่นนี้ ในปี 2565 ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลงมาระดับหนึ่ง และค่อยๆ กลับขึ้นมาในปีนี้อาจจะขึ้นๆ ลงๆ บ้างแต่โดยรวมแล้วถือว่าดี เหมือนที่ทุกคนทราบกันดีว่าศักยภาพของเวียดนามยังเติบโตได้ดีอยู่ นักลงทุนต่างชาติก็เรียกได้ว่าเดินแถวเข้าไปลงทุนในเวียดนาม ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโรงงาน การผลิตชิป เพราะปัจจัยเรื่องค่าแรงที่ยังถูก และศักยภาพของคนที่มีความสามารถ

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจของเวียดนามเติบโตกว่า 5.8% อยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกคาดว่าจะเร่งตัวขึ้นอีกใน 2 ปีข้างหน้า โดย Fitch Ratings คาดการณ์การเติบโตที่ 6.3% ในปี 2567 และการเติบโต 7.0% ในปี 2568 และธนาคารอื่นๆอย่างเช่น Standard Chartered ยังคงคาดการณ์การเติบโตของ GDP ในปี 2567 ไว้ที่ 6.7% และ IMF คาดการเติบโตของ GDP เวียดนามจะอยู่ที่ 5.8% ในปี 2567 และ 6.9% ในปี 2568 ซึ่งอัตราการเติบโตที่คาดการณ์ไว้สำหรับเวียดนามนั้นถือว่า อยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค ทำให้เวียดนามยังน่าสนใจในแง่การลงทุนระยะยาว

เรียกว่า "เวียดนาม" กำลังเตรียมพร้อมเป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่หรือตลาดหุ้นกำลังพัฒนา แสดงว่ามีโอกาสที่ในอนาคตเงินจะไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเยอะขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงที่เป็นประเทศที่เรายังไม่สามารถลงทุนได้เต็มที่ แต่ถ้ามองในภาพรวม การเติบโตต่างๆ ก็ดูสมเหตุสมผล แต่ไม่ได้ดูราคาถูกมากเมื่อเทียบกับหุ้นจีน

อีกประเด็นที่น่าจับตา คือ ร่วมมือครั้งใหญ่ระหว่างเวียดนาม-จีน ผ่านการลงนามข้อตกลงและบันทึกความเข้าใจ (MOU) 36 ฉบับ ครอบคลุมหลากหลายด้าน ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานและเส้นทางรถไฟ การค้าและการลงทุน ความมั่นคงและการทหาร ไปจนถึงความร่วมมือด้านดิจิทัล ข้อมูล และโทรคมนาคม

นอกจากนี้ ทั้งสองยังมีแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษร่วมกัน เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุน

การลงนามข้อตกลงครั้งนี้สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างเวียดนามและจีน โดยทั้งสองประเทศต่างมุ่งเน้นความร่วมมือในด้านต่างๆ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และความมั่นคงในภูมิภาค

​และหากคุณเชื่อเรื่องเทคโนโลยีจะเป็นกุญแจสู่โลกอนาคต ก็ต้องบอกว่าเวียดนามนี่แหละที่จะเป็นประตูสู่โลกอนาคต หลังบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งตบเท้าเข้ามาตั้งฐานการผลิตในเวียดนาม ปีที่ผ่านมาข่าวดังอย่าง Apple ที่เข้ามาแล้ว ล่าสุดมีข่าวว่า Nvidia ผู้ผลิตชิปยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ กำลังพิจารณาให้เวียดนามขึ้นแท่นเป็นฐานการผลิตแห่งที่ 2 ด้วยเม็ดเงินลงทุนเริ่มต้นกว่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์

ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. จิตตะ เวลธ์ จำกัด

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT