การเงิน

เหตุผลที่หุ้นไทยไม่ Sexy ขาดทั้ง Growth และ สภาพคล่อง

3 พ.ย. 66
เหตุผลที่หุ้นไทยไม่ Sexy ขาดทั้ง Growth และ สภาพคล่อง
ไฮไลท์ Highlight
***G - Growh คือ การเติบโต ส่วน L - Liquidity คือ สภาพคล่อง  ระหว่าง GกับL ต้องยอมรับว่า L หรือ สภาพคล่องสำคัญที่สุด ***

แม้ว่าวันนี้ตลาดหุ้นไทยจะดีดกลับมายืนเหนือ 1,400 จุดได้สำเร็จ แต่ต้องยอมรับว่าสภาพตลาดหุ้นไทยปี 2566 นี้อาการไม่ค่อยสู้ดี ดัชนีเคยลงไปอยู่ในจุดต่ำสุดในรอบ 3 ปี เมื่อวันที่  26 ต.ค. 2566 ที่ระดับ 1,370 จุด วันนั้นหุ้นไทยร่วงไปกว่า 30 จุด จนทำให้กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภากร ปีตธวัชชัย ต้องออกมาชี้แจงว่าเป็นการเคลื่อนไหวสอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาคและโลก ไม่พบความผิดปกติในการซื้อขาย และเชื่อมั่นว่า พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่งอยู่ 

อย่างไรก็ตามถ้าดูตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยก็ยังปรับตัวลงราว 14% จากเดือนมกราคม ดัชนีปิดที่ 1,671.46 จุด ปัจจุบันอยู่ที่ 1,410 จุด ดัชนีหายไปกว่า 200 จุด

ขณะที่กลุ่มนักลงทุนต่างชาติมีการขายสุทธิอยู่ 172,418.01 ล้านบาท ฟากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันก็ลดต่ำลงเรื่อยๆจากต้นปี
อยู่ที่ราวเกือบ 7 หมื่นกว่าล้านบาท ค่อยๆลดลงเหลือ 5 หมื่นกว่าล้านบาท จนปัจจุบันเหลือมูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ราว 4.5 หมื่นล้านบาท  Market Cap วูบหายจาก 20 ล้านล้านบาท เหลือเพียง 16 ล้านล้านบาทเท่านั้น 

สภาพเช่นนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่ในระยะนี้หุ้นไอพีโอ จะร่วงกันระนาวในการเข้าเทรดวันแรก ซึ่งส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่า เข้ามาในช่วงสภาพตลาดในปัจจุบันไม่ค่อยเอื้ออำนวยเท่าไหร่ 

สาเหตุที่หุ้นไทยไม่ Sexy เพราะขาดทั้ง Growth และ สภาพคล่อง 

คุณประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ ให้สัมภาษณ์กับ SPOTLIGHT พูดถึงสภาพการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปัจจุบันว่า ไม่มีความ Sexy อยู่แล้ว เพราะหลักการลงทุนที่ดีจะมีองค์ประกอบ 2 อย่างคือ G * L 

***G - Growh คือ การเติบโต ส่วน L - Liquidity คือ สภาพคล่อง 
ระหว่าง GกับL ต้องยอมรับว่า L หรือ สภาพคล่องสำคัญที่สุด ***

หากตลาดหุ้นที่มีการเติบโตดี สภาพคล่องไม่ดีตลาดอาจจะแค่ประคอง  หากการเติบโตไม่ดี สภาพคล่องดี ยังอาจพาดัชนีไปได้บ้าง  แต่หากทั้งการเติบโตดีสภาพคล่องดี ยิ่งผลักดันตลาดให้ไปได้ไกล ในทางตรงกันข้ามหากไม่ดีทั้งการเติบโตและสภาพคล่องก็จะเป็นเหมือนสภาพตลาดหุ้นไทยในเวลานี้นั่นเอง  

  • มองในภาพการเติบโต  คุณประกิต มองว่า เศรษฐกิจไทยมีปัญหาในเชิงโครงสร้างค่อนข้างลึกส่วนที่ลึกและสำคัญที่สุดคือ คุณภาพแรงงาน เพราะทักษะยังต่ำหากเทียบกับต่างประเทศ ทำให้เศรษฐกิจไทยวนเวียนกับการผลิตเดิมๆ ยังพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ไม่สามารถผลิตสินค้าไฮเทคได้ คู่แข่งจึงมาก การเติบโตทางเศรษฐกิจจึงพึ่งพาแต่การส่งออก และการท่องเที่ยว เมื่อไม่เติบโตเช่นนี้จึงมีผลกระทบมาที่กำไรของบริษัทจดทะเบียน 

  • ส่วนสภาพคล่องในหุ้นไทย ก็พบว่า มูลค่าการซื้อขายหุ้นไทยหายวับไปกับตา ในช่วง 2 ปีที่แล้วเคยมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันราว 8 หมื่นล้านนบาท ทุกวันนี้ 4.5 หมื่นล้านก็เก่งแล้ว  ขณะเดียวกันนักลงทุนรายย่อยมีอิทธิพลในตลาดหุ้นน้อยลงอย่างน่ากลัว เพราะสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติ หรืออัลกอริทึมเทรดดิ้งสูงขึ้น กินสัดส่วนราว 30% ส่งผลให้ตลาดผันผวนง่าย  ส่วนปริมาณการชอร์ตเซลก็สูงขึ้นกว่าเดิม ราว 6,000 ล้านบาท/ วัน หรือเท่ากับ  10% ของมูลค่าการซื่อขายต่อวัน สภาพแบบนี้แล้วนักลงทุนรายย่อยยิ่งตาย

    คุณประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์

อนาคตตลาดหุ้นไทยจะดีขึ้นมั้ย? 

คุณประกิต มองว่า ถามถึง Growth ก็ขึ้นอยู่กับการสร้างการเติบโตให้ประเทศโดยรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งถึงแม้จะเข้ามาด้วยความตั้งใจจะปั้มการเติบโตของ GDP แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม ยังไม่มียุทธศาสตร์ในระยะยาว เห็นแต่การดำเนินนโยบายที่ประคองตัว เป็นเพียงระยะสั้นๆเท่านั้น   

ส่วนสภาพคล่อง ต้องยอมรับว่า ขณะนี้ในระดับโลกสภาพคล่องหายไปมากเป็นประวัติการณ์ สาเหตุเพราะอัตราเงินเฟ้อสูงมากจนเกิดการดึงเงินกลับ โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ ที่มีการดึงเงินกลับ ทำ QT ราว 70,000 -80,000 ล้านเหรียญแล้วและยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง แม้ว่ารอบนี้ธนาคารกลางสหรัฐจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ก็ตาม 

ดังนั้นหากคุณเป็นนักลงทุน ต้องดูเป้าหมายการลงทุน เพราะหากอยากได้ Capital Gain จากตลาดหุ้นไทย อยากเก็งกำไร ถือว่า ไม่เหมาะเพราะตลาด อืด และมันแพง ผันผวนเก็งกำไรยาก  หากต้องการลงทุนเก็งกำไร แนะนำให้ใช้เครื่องมืออื่น เช่น อนุพันธ์ เป็นต้น หรือการออกไปลงทุนในต่างประเทศ ปัจจุบันสามารถซื้อ DR หรือ DRX  ได้ 

การออกไปลงทุนต่างประเทศในปัจจุบัน คุณประกิต  อาจยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะเพราะสภาพเศรษฐกิจผันผวน อาจต้องรอจังหวะ แต่อย่างไรก็ตามมองในระยะยาวแล้วการลงทุนในตลาดต่างประเทศอาจมีข้อดีว่าไทย เพราะทั้งการเติบโต Growth และ Liquidity ดีกว่าประเทศไทย 

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในตลาดหุ้นไทยหากหวังแค่เงินปันผล ถือว่าเหมาะกับตลาดหุ้นไทย เพราะผลประกอบกาของบริษัทส่วนใหญ่ค่อนข้างนิ่ง 

เตือน 2 ประเด็นน่าห่วงที่สุด สะเทือนการลงทุน

  1. Financial Crisis  ปัญหาด้านเครดิต ภาคเอกชนที่ออกหุ้นกู้ที่ผ่านมายังคงน่าเป็นห่วง ทั้งการผิดนัดชำระหนี้ การRoll Over น่าจับตาอย่างมาก สัญญาณะการพุ่งขึ้นของ บอนด์ ยีลด์ ทำให้ไม่รู้ว่า จะเกิดเหตุการผิดนัดชำระหนี้มากแค่ไหน และถ้ามากสถานะของแบงก์ รวมถึงNPL จะเป็นอย่างไร  หลายประเทศของโลกมีความเสี่ยง

  2. Geopolitics ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ อย่างสงครามทั้งรัสเซีย ยูเครน  และอิสราเอล ฮามาส คือความเสี่ยงที่คาดเดาได้ยาก ขณะนี้เราอยู่ภายใต้ความขัดแย้งไปแล้ว ต่างจากในอดีตต่อสู้กันด้วยเศรษฐกิจ แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจไม่ดี สู้ไม่ได้จึงต้องสู้กันด้วยสงคราม

ท่ามกลางบริบทของโลกและสภาพของไทยในเวลานี้ จึงทำให้เห็นว่า ประเทศไทยเราไม่มีภูมิคุ้มกัน เปราะบาง ภาครัฐฯยังไม่สร้างความเชื่อมั่นในการเติบโตทางเศรษฐกิจระยะยาวได้ เมื่อบรรยากาศตลาดโลกไม่เอื้ออำนวย…หุ้นไทยก็ไหลลงเลยทันทีเลย แม้เราไม่ได้มีอะไร แต่นั่นเป็นเพราะเราอ่อนแอ เราไม่มีภูมิกัน..   

ดูวีดีโอ คุณประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์

 

advertisement

SPOTLIGHT