การเงิน

หุ้นไทยร่วงแรง 34 จุดนักลงทุนกังวล สงครามอิสราเอล-ฮามาสลุกลาม ยืดเยื้อ

16 ต.ค. 66
หุ้นไทยร่วงแรง 34 จุดนักลงทุนกังวล สงครามอิสราเอล-ฮามาสลุกลาม ยืดเยื้อ
ไฮไลท์ Highlight
“สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดมึมุมมองว่าสถานการณ์จะจำกัดแค่ 2 ประเทศเท่านั้น แต่ตอนนี้อิสราเอลได้มีการบุกในฉนวนกาซาเต็มที่ ก็ทำให้มีโอกาสทีชาติพันธมิตรของปาเลสไตน์ จะเข้ามาช่วยเหลือสนับสนุน เช่น อิหร่าน และอาจทำให้สงครามกลายเป็นวงกว้างมากขึ้น ก็อาจจะส่งผลกระทบในวงกว้างมากขึ้น นักลงทุนจึงมีการกังวลและเทขายหุ้นออกมา ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้หุ้นไทยปรับลดลงวันนี้” คุณสุนทรกล่าว

สถานการณ์ความรุนแรงในอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสดูมีความน่ากังวลมากขึ้นเพราะนักวิเคราะห์ประเมินว่า มีโอกาสที่สงครามจะลุกลามบานปลาย และยืดเยื้อออกไป 


โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (16 ต.ค.66) ปิดที่1,427.11 จุด ลดลง 23.64 จุด (-1.63%) มูลค่าการซื้อขาย 56,231.67 ล้านบาท ระหว่างการซื้อขายหุ้นวันนี้ดัชนีปรับตัวลงแรงทำจุดต่ำสุด 1,416.21 จุด หรือลงไปกว่า 34 จุด ส่วจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 1,446.26 จุด โดยมีหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 56 หลักทรัพย์ ลดลง 476 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 115 หลักทรัพย์

โดยคุณสุนทร ทองทิพย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย เผยกับ SPOTLIGHT ว่า วันนี้นักลงทุนในตลาดมีความกังวลเรื่องสถานการณ์สงครามอิสราเอล-ฮามาส จะลุกลามกลายเป็นสงครามตะวันออกกลาง ส่งผลให้นักลงทุนมีการเทขายหุ้นไทยออกมา

ทั้งนี้ หากสงครามอิสราเอล-ฮามาส มีการบานปลายไปจนถึงมีประเทศอื่นร่วมด้วย เช่น อิหร่าน หรือมีผลกระทบต่อการขนส่งน้ำมันบริเวณช่องแคบฮอร์มุซ  ก็มีโอกาสที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะพุ่งทะลุ  100 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล 

“สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดมึมุมมองว่าสถานการณ์จะจำกัดแค่ 2 ประเทศเท่านั้น แต่ตอนนี้อิสราเอลได้มีการบุกในฉนวนกาซาเต็มที่ ก็ทำให้มีโอกาสทีชาติพันธมิตรของปาเลสไตน์ จะเข้ามาช่วยเหลือสนับสนุน เช่น อิหร่าน และอาจทำให้สงครามกลายเป็นวงกว้างมากขึ้น ก็อาจจะส่งผลกระทบในวงกว้างมากขึ้น นักลงทุนจึงมีการกังวลและเทขายหุ้นออกมา ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้หุ้นไทยปรับลดลงวันนี้” คุณสุนทรกล่าว

สำหรับปัจจัยรองลงมา คือ ตลาดยังจับตาความเคลื่อนไหวของตลาดตราสารหนี้ (บอนด์ยีล) สหรัฐ และไทย

แนะนักลงทุน Wait & See

ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย แนะนำนักลงทุนในขณะนี้ว่า ควรที่จะ wait & see หรือรอดูสถานการณ์ไปก่อน กรอบดัชนีหุ้นไทย ที่ระดับ 1,420-1,460 

แต่ถ้านักลงทุนที่มีการปรับพอร์ตไปแล้วอยากจะเข้าลงทุนในระดับนี้ก็สามารถลงได้ โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่แนะนำ อาทิเช่น นิคมอุตสาหกรรม ที่จะได้รับอานิสงส์จากนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยโดยตรง (FDI) 9 เดือน อยู่ที่กว่า 364,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70% เมื่อเทียบจากปีก่อน  หรือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยสี่ เช่น ยารักษาโรค โรงพยาบาล กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวก็จะได้รับผลบวกจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในไทย

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT