การเงิน

ทิศทางหุ้นไทยครึ่งปีหลังจะเป็นอย่างไร? ต่างชาติเทขายหุ้นกว่าแสนล้านบาท

21 ก.ค. 66
ทิศทางหุ้นไทยครึ่งปีหลังจะเป็นอย่างไร? ต่างชาติเทขายหุ้นกว่าแสนล้านบาท

เม็ดเงินต่างชาติไหลออกไม่หยุด กดดัชนีร่วงต่ำสุดในรอบ 2 ปี ttb analytics มอง 3 ปัจจัยพื้นฐานไทยเปราะบางสูง หวั่นฉุดโฟลว์ระยะยาว

ฟันด์โฟลว์ต่างชาติไหลออกสุทธิจากตลาดหุ้นไทยกว่าแสนล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 หลังสภาพคล่องทั่วโลกถูกดึงออกจากระบบตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา กดดัชนี SET Index ร่วงต่ำสุดในรอบ 2 ปี 

ทั้งนี้ ปรากฎการณ์ที่ต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยพื้นฐานของไทยที่ค่อนข้างเปราะบางอยู่ก่อนแล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะผลตอบแทนหุ้นไทยที่ต่ำกว่าภูมิภาค เศรษฐกิจไทยขยายตัวช้าลง รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมือง

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics คาดว่า ดัชนี SET Index ช่วงครึ่งหลังของปี 2566 มีโอกาสฟื้นตัวได้บ้างหลังตลาดรับรู้ความเสี่ยงไปแล้ว รวมถึงความหวังจากสถานการณ์การเมืองในประเทศคลี่คลาย

ตลาดหุ้นไทยกำลังเข้าสู่ภาวะตลาดซบเซา หรือ ตลาดหมี (Bear Market) อย่างชัดเจน เห็นได้จากดัชนี SET Index ที่ร่วงลงต่อเนื่องจนหลุดแนวต้านสำคัญที่ 1,500 จุด ซึ่งต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 

ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเบาบางลงเพียง 3-4 หมื่นล้านบาทต่อวัน จากที่เคยสูงถึงแสนล้านบาทต่อวัน 

นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิสะสมตลอดช่วงครึ่งแรกของปีกว่า 1.07 แสนล้านบาท ส่วนนักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่เป็นขาช้อนซื้อสวนทางกับต่างชาติก็ลดลงไปมาก สอดคล้องกับจำนวนบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (Active User) ที่ลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีเหลือเพียงเดือนละ 9.8 แสนบัญชี เทียบกับช่วงที่ตลาดร้อนแรงที่สูงถึง 1.3 ล้านบัญชี จากกรณีที่เม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) หลั่งไหลออกจากตลาดหุ้นไทย 

ขณะที่นโยบายการเงินทั่วโลกก็ตึงตัวขึ้นกว่าในอดีตมาก ttb analytics มองว่า ปรากฎการณ์ที่ต่างชาติขายหุ้นไทยไม่หยุด อาจไม่ใช่เพียงปัจจัยด้านสภาพคล่องในตลาดที่หดหายไปเพียงชั่วคราว แต่ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยพื้นฐานของไทยที่ค่อนข้างเปราะบาง ดังนี้

ปัจจัยที่ 1 : หุ้นไทยแพง-กระจุกตัว ผลตอบแทนต่ำ

ในเดือนมิถุนายน 2566 ราคาหุ้นต่อกำไรในอดีต (Historical P/E) ของไทยโดยเฉลี่ยค่อนข้างสูงที่ 19.9 เท่า สูงกว่าระดับก่อนสถานการณ์โควิด-19 อยู่ที่ 19.4 เท่า และสูงกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคผ่านดัชนี MSCI เอเชียแปซิฟิก 

ถ้ารวมญี่ปุ่น (MSCI All Country Asia Pacific ex Japan) อยู่ที่ 14.9 เท่า และดัชนี MSCI ตลาดเกิดใหม่ (MSCI Emerging Markets) 12.98 เท่า 

ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Market Dividend Yield) ของไทยกลับต่ำกว่าภูมิภาคที่ 3.2% เทียบกับสิงคโปร์และมาเลเซียที่ 5.0% และ 4.4%  

ตลาดยังมองว่าราคาหุ้นต่อกำไรในอีก 1 ปีข้างหน้า (Forward P/E) ของไทยจะทยอยลดลงมาอยู่ที่ 16.1 เท่า แต่ก็ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียถึง 30% ทำให้การเปิดเผยกำไรของบริษัทจดทะเบียนตลอดครึ่งแรกของปีที่ต่ำกว่าคาด ส่งผลให้ต่างชาตินำเงินออกไปลงทุนในตลาดที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

โดยหุ้นขนาดใหญ่เป็นหุ้นหน้าเดิมที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก หากพิจารณาบริษัทจดทะเบียน (Listed Company) ที่อยู่ในดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 50 อันดับแรก (SET50) ตามมูลค่าตลาดในปัจจุบัน กว่า 64% ของจำนวนหุ้นใน SET50 ยังเป็นบริษัทดั้งเดิมที่จดทะเบียนตั้งแต่ 10 ปีก่อน 

บริษัทบางแห่งมีการเติบโตจากการควบรวมกิจการ (M&A) มูลค่าตลาด SET50 ก็มีสัดส่วนในตลาดหุ้นไทยถึงเกือบ 70% หรือราว 12.4 ล้านล้านบาท และยังกระจุกตัวในอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่อิงกับวัฎจักรเศรษฐกิจ (Cyclical Stock) 

ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ที่เป็นหุ้นที่เติบโตสูง (Growth Stock) กลับมีน้ำหนักเพียง 14% ของมูลค่าตลาด ท่ามกลางบริษัทจดทะเบียนรายใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาดหุ้นซึ่งยังเต็มไปด้วยความเสี่ยงในหลาย ๆ ด้าน

ปัจจัยที่ 2 : เศรษฐกิจเปราะบางมาตั้งแต่ก่อนสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ไร้ปัจจัยหนุนใหม่

เศรษฐกิจไทย เติบโตในอัตราที่ต่ำ เฉลี่ยปีละ 3-4% ตลอดเกือบสิบปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับประเทศเกิดใหม่ที่โตได้ถึงปีละ 5-7% 

ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อหัว (GDP per Capita) ของไทยก็ขยายตัวต่ำสุดในอาเซียนเฉลี่ยเพียงปีละ 2% เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านคู่แข่งอย่างเวียดนามที่รายได้ต่อหัวโตเฉลี่ยปีละ 5.4% 

ผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤตโควิด-19 ยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยให้ยังไม่สามารถกลับเข้าสู่ระดับศักยภาพในอดีตได้โดยง่าย

ไทยกำลังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างในหลายมิติ ประกอบด้วย

  1. หนี้ครัวเรือนสูงที่กลายเป็นปัญหาเรื้อรัง 
  2. การขาดแคลนวัยแรงงานท่ามกลางโครงสร้างประชากรที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ผลกระทบที่ตามมาคงหนีไม่พ้น การเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาวที่จะมีแนวโน้มลดลง 
  3. แรงกดดันจากภาระทางการคลังตึงตัวมากขึ้น ทำให้ไทยกลายเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่เจอปัญหาเชิงโครงสร้างและการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำไม่แตกต่างจากประเทศพัฒนาแล้ว  

ปัจจัยที่ 3 : เสถียรภาพทางการเมืองต่ำเป็นเวลานาน ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุน

ตั้งแต่ปี 2556 ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่องแทบทุกปี และในปีนี้ที่มีการเลือกตั้ง ต่างชาติจะเทขายหุ้นออกมาบางส่วนในช่วงก่อนการเลือกตั้ง และการเลือกตั้งรอบนี้ต่างชาติกลับยังคงขายสุทธิเพิ่มเติมหลังเลือกตั้งต่อเนื่องอีกไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท 

สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลต่อเสถียรภาพทางการเมืองที่เกิดขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ขาดความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายและบั่นทอนความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติในระยะยาว 

เห็นได้จากเม็ดเงินลงทุนทางตรงจากต่างชาติ (FDI) ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องหลังปี 2556 และลดลงมาโดยตลอดเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและอินโดนีเซีย

ไม่เพียงต่างชาติลงทุนน้อยลง ในประเทศยังมองหาการลงทุนนอกบ้านอีกด้วย โดยบริษัทขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ก็ออกไปลงทุนนอกประเทศต่อเนื่องปีละ 1-2 แสนล้านบาท 12:58:51

ขณะที่นักลงทุนสถาบันก็ให้ความสนใจหุ้นไทยลดลง สะท้อนจากตัวเลขการซื้อขายกองทุนจากสถาบันในประเทศในกลุ่มหุ้นในประเทศที่ลดลงอย่างมากจากซื้อสุทธิเฉลี่ย 9.4 พันล้านบาทในปี 2560 – 2562 มาเป็นขายสุทธิ 6.4 พันล้านบาทในช่วงปี 2564 จนถึง 6 เดือนแรกของปี 2566 สวนทางกับสัดส่วนมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) เทียบกับกองทุนทั้งหมดที่เพิ่มขึ้นจาก 18.7% เป็น 20% ภายในเวลาเพียง 5 ปีเท่านั้น

 

ttb analytics ประเมิน ดัชนี SET Index ช่วงครึ่งหลังของปี 2566 มีโอกาสที่จะฟื้นตัว (Rebound) ขึ้นมาได้บ้าง เนื่องจากตลาดรับรู้ความเสี่ยงไปแล้ว (Priced-In) 

 

โดยปัจจัยที่ช่วยให้เกิด Upside คงหนีไม่พ้น เรื่องการจัดตั้งรัฐบาลและความชัดเจนด้านนโยบายเศรษฐกิจที่จะพัวพันไปถึงการตั้งงบประมาณปี 2567 ซึ่งอาจช่วยดึงฟันด์โฟลว์ต่างชาติได้ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยเจอแรงปะทะรอบด้านเช่นนี้



advertisement

SPOTLIGHT