
จอประสาทตาลอก เป็นภาวะฉุกเฉิน ที่อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้อย่างถาวร หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งบางคนอาจจะมีอาการเตือนมาก่อน เช่น เห็นจุดดำลอยไปมา เห็นแสงแฟลชวาบในลูกตา แต่บางคนอาจไม่มีสัญญาณใด ๆ อยู่ดี ๆ ภาพก็เริ่มมัว จักษุแพทย์แนะนำให้รีบมาพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพราะอาจส่งผลให้เกิดการบกพร่องทางการมองเห็น
แพทย์หญิงพิมพ์พิสาข์ วุฑฒิชัยพันธ์ จักษุแพทยชำนาญการด้านโรคจอประสาทตาและวุ้นตา โรงพยาบาลเวชธานี อินเตอร์เนชั่นแนล อธิบายว่า จอประสาทตา (Retina) คือชั้นเนื้อเยื่อบางๆ ที่เรียงรายอยู่ด้านในลูกตา มีหน้าที่สำคัญในการรับแสงและแปลงสัญญาณภาพเป็นกระแสประสาทส่งไปยังสมอง การทำงานของจอประสาทตาสามารถเปรียบเทียบได้กับฟิล์มในกล้องถ่ายรูปยุคก่อน หรือเซนเซอร์ภาพในกล้องดิจิทัลสมัยใหม่
โครงสร้างของจอประสาทตามีหลายชั้น โดยชั้นนอกสุดจะติดกับเยื่อชั้นหลอดเลือดตา (Choroid) ซึ่งหล่อเลี้ยงออกซิเจนและสารอาหาร ส่วนตรงกลางของจอประสาทตาเรียกว่า "จุดประสาทตา" (Macula) ซึ่งเป็นบริเวณที่ให้ภาพคมชัดและการมองเห็นสีได้ดีที่สุด
ปกติจอประสาทตาจะยึดติดกับผนังด้านในลูกตาอย่างแน่นหนา แต่เมื่อเกิดภาวะจอประสาทตาลอก ชั้นเนื้อเยื่อเหล่านี้จะแยกออกจากตำแหน่งเดิม ส่งผลให้ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
จอประสาทตาลอก (Retinal Detachment) เกิดจากการที่จอประสาทตาแยกหรือหลุดออกจากชั้นเนื้อเยื่อด้านล่างที่ให้การหล่อเลี้ยง เมื่อเกิดภาวะนี้ เซลล์ประสาทตาจะไม่ได้รับออกซิเจนและสารอาหาร ยิ่งปล่อยทิ้งไว้นานเท่าไร ความเสี่ยงต่อการสูญเสียสายตาถาวรก็ยิ่งสูงขึ้น
สาเหตุหลักของจอประสาทตาลอกมี 3 ประเภท
1. จอประสาทตาลอกแบบฉีกขาด (Rhegmatogenous Retinal Detachment)
เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุดในกลุ่มประชากรทั่วไป เกิดจากการที่จอประสาทตามีรอยฉีกขาดหรือรูเล็ก ๆ ทำให้น้ำวุ้นตา (Vitreous) รั่วซึมเข้าไปใต้จอประสาทตา แล้วผลักให้จอประสาทตาลอกออกจากตำแหน่งเดิม สาเหตุที่ทำให้จอประสาทตาฉีกขาด ได้แก่ การเสื่อมสภาพของน้ำวุ้นตาตามอายุ (Posterior Vitreous Detachment), สายตาสั้นมาก (High Myopia), ได้รับอุบัติเหตุกระทบกระแทกบริเวณดวงตา, เคยมีประวัติผ่าตัดดวงตา, ประวัติครอบครัวมีจอประสาทตาลอก, หรือมีรอยฉีกขาดของจอประสาทตามาก่อนแต่ไม่ได้รับการรักษา
2. จอประสาทตาลอกแบบมีผังผืดดึงรั้ง (Tractional Retinal Detachment)
เกิดจากการที่มีเนื้อเยื่อแผลเป็นหรือเส้นเลือดใหม่ที่ผิดปกติ ดึงจอประสาทตาออกจากตำแหน่ง พบมากในผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะจอประสาทตาเสื่อมจากเบาหวาน (Diabetic Retinopathy) ระยะรุนแรง
3. จอประสาทตาลอกแบบสารน้ำรั่ว (Exudative Retinal Detachment)
เกิดจากการสะสมของของเหลวใต้จอประสาทตาโดยไม่มีรอยฉีกขาด มักเกิดจากการอักเสบ สารน้ำจากหลอดเลือดรั่วในชั้นจอตา หรือเนื้องอกบางชนิด
อาการของจอประสาทตาลอกที่ต้องระวัง ได้แก่
1. เห็นแสงวาบ (Photopsia) เห็นแสงกะพริบหรือแสงวาบคล้ายแสงแฟลช หรือฟ้าแลบ โดยเฉพาะเมื่อหันศีรษะหรือกลอกตา เกิดจากการที่เจลหุ้มลูกตาดึงรั้งจอประสาทตา
2. เห็นจุดดำลอยหรือเส้นใยลอย (Floaters) เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน เห็นจุดดำ เส้นใย แมลงวัน หรือเงาลอยเป็นจำนวนมาก อาจเห็นเป็นกลุ่มเมฆดำ หรือฝนตก เกิดจากเลือดหรือเซลล์ที่หลุดออกมาจากรอยฉีกขาด
3. เหมือนมีม่านหรือเงาบังสายตา เห็นเงาหรือม่านดำปิดบังด้านใดด้านหนึ่งของสายตา เงานี้จะค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อาจเป็นสัญญาณจอประสาทตาลอกแล้วและกำลังขยายเพิ่มขึ้น
4. สายตามัวลงอย่างรวดเร็ว เห็นภาพไม่ชัด โดยเฉพาะเมื่อมีการหลุดลอกของจุดรับภาพชัดบริเวณกลางจอประสาทตา อาจเห็นภาพเบลอเหมือนมีน้ำมันลาย
5. สายตาผิดปกติด้านข้าง การมองเห็นด้านข้างหรือขอบของภาพหายไป รู้สึกว่าสายตาแคบลง
สาเหตุที่ต้องรีบรักษาให้เร็วที่สุด เนื่องจากหากปลอยทิ้งไว้ เซลล์ประสาทตาตายอย่างรวดเร็ว เมื่อจอประสาทตาลอก เซลล์จะไม่ได้รับออกซิเจนและสารอาหาร ภายใน 24 ชั่วโมง เซลล์เริ่มได้รับความเสียหาย หลัง 48 ชั่วโมงความเสียหายจะรุนแรงและยากต่อการฟื้นตัว
นอกจากนี้ยังป้องกันไม่ให้จอประสาทตาลอกขยายเพิ่มขึ้น การรักษาเร็วจะช่วยหยุดการลอกก่อนที่จะขยายไปถึงจุดประสาทตาตรงกลาง (Macula) ซึ่งเป็นจุดสำคัญสำหรับการมองเห็นที่คมชัด อีกทั้ง ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาภายใน 24 - 48 ชั่วโมง มีโอกาสฟื้นสายตากลับมาได้ดีกว่าผู้ที่รักษาล่าช้า สถิติแสดงว่าอัตราความสำเร็จในการยึดจอประสาทตากลับสู่ตำแหน่งเดิมสูงถึง 90% หากรักษาทันท่วงที
และที่สำคัญลดความซับซ้อนของการผ่าตัด การรักษาเร็วทำให้การผ่าตัดง่ายขึ้น มีภาวะแทรกซ้อนน้อยลง และระยะเวลาฟื้นตัวเร็วกว่า
การรักษาจอประสาทตาลอกด้วยเทคนิค PPV
PPV หรือ Pars Plana Vitrectomy คือเทคนิคการผ่าตัดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบันในการรักษาจอประสาทตาลอก โดยเฉพาะในกรณีที่มีความซับซ้อน โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือจุลศัลยกรรมขนาดเล็กดูดเอาน้ำวุ้นตา (Vitreous gel) ออก
1.ทำความสะอาดเลือดหรือเนื้อเยื่อผิดปกติ
2.แก้ไขรอยฉีกขาดของจอประสาทตา
3.ผลักจอประสาทตากลับไปยึดติดกับตำแหน่งเดิม
4.ใส่สารทดแทนเพื่อกดจอประสาทตาให้ติดกับผนังลูกตา
ข้อดีของการผ่าตัดด้วยเทคนิค PPV
• ความแม่นยำสูง - มองเห็นภายในลูกตาชัดเจนและสามารถแก้ไขได้ละเอียด
• รักษาโครงสร้างตาได้ดี - ไม่ต้องเจาะหรือทำลายโครงสร้างภายนอกของลูกตา
• รักษาได้ทั้งกรณีซับซ้อน - แก้ไขได้แม้มีแผลเป็นดึงรั้งหรือรอยฉีกขาดหลายจุด
• แผลผ่าตัดเล็ก - หายเร็ว มีโอกาสติดเชื้อน้อย
การเปลี่ยนแปลงของการมองเห็นแม้เพียงเล็กน้อยอาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะอันตรายอย่าง “จอประสาทตาลอก” ที่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างกะทันหันและนำไปสู่การสูญเสียสายตาอย่างถาวร หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อย่ารอให้เวลาผ่านไปแม้เพียงชั่วโมงเดียว ควรรีบมาพบจักษุแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยและรักษา ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการกลับมามองเห็นได้ดีอีกครั้ง
Advertisement