บาทอ่อนแรงสุดใน7เดือน ตลาดคาดธปท.แทรกแซงค่าเงิน มาตรการคุมธุรกรรมกดดัน
ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงแรงที่สุดในรอบกว่า 7 เดือน หลังจากแข็งค่าต่อเนื่องถึง 6 สัปดาห์ติดต่อกัน เนื่องจากนักลงทุนเริ่มเพิ่มความระมัดระวังต่อท่าทีของทางการไทย โดยเฉพาะความเป็นไปได้ของมาตรการดูแลค่าเงินจากธปท. หากการเคลื่อนไหวถูกมองว่าผันผวนหรือแข็งค่าเร็วเกินไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังเงินบาทเพิ่งปรับตัวขึ้นไปแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 3 ปี จากแรงหนุนของราคาทองคำในตลาดโลก และธุรกรรมทองคำที่ทำให้มีการแลกเปลี่ยนดอลลาร์เป็นบาทมากขึ้นจนกระทบกับค่าเงิน
เงินบาทอ่อนแรงหลังแข็งค่าทำสถิติใหม่
ข้อมูลจากบลูมเบิร์กระบุว่า ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมากถึง 1.1% มาอยู่ที่ระดับ 31.394 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และล่าสุด ณ เวลา 16.45 น. ลงมาอยู่ที่ระดับ 31.426 บาท/ดอลลาร์ ถือเป็นการปรับตัวลงแรงที่สุดในรอบ 7 เดือน หลังจากที่สัปดาห์ก่อนหน้าเงินบาทแข็งค่าขึ้นไปแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2564 โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ซึ่งมักส่งผลโดยตรงต่อทิศทางค่าเงินบาทผ่านกระแสเงินทุนและธุรกรรมทองคำ
นักวิเคราะห์มองว่า การอ่อนค่าครั้งนี้สะท้อนการปรับสมดุลของตลาด หลังเงินบาทแข็งค่าเร็วในช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน นักลงทุนเริ่มกลับมาประเมินความเสี่ยงด้านนโยบายมากขึ้น โดยเฉพาะบทบาทของธนาคารกลางในการดูแลเสถียรภาพค่าเงิน
ตลาดจับตาท่าทีทางการและกฎเกณฑ์ใหม่ของ ธปท.
ความกังวลของตลาดเพิ่มขึ้น หลังจากทางการเกาหลีใต้ส่งสัญญาณตอบโต้การอ่อนค่าของเงินวอนอย่างชัดเจน พร้อมเตือนว่าจะดำเนินมาตรการอย่างเข้มงวดต่อความเคลื่อนไหวที่มากเกินไป นักวิเคราะห์บางรายมองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้นักลงทุนหันมาจับตาความเป็นไปได้ที่ประเทศอื่นในภูมิภาค รวมถึงไทย อาจดำเนินรอยตามในลักษณะเดียวกัน
วี คูน ชอง นักกลยุทธ์จาก BNY ระบุว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยและรัฐบาลไทยมีแนวโน้มจะยกระดับมาตรการเพื่อสกัดความแข็งค่าของเงินบาท โดยที่ผ่านมา ตลาดอาจยังไม่ให้น้ำหนักกับคำเตือนของ ธปท. มากนัก แต่การปรับฐานอย่างรุนแรงของเงินวอนเกาหลีใต้เมื่อสัปดาห์ก่อน ได้ยกระดับความระมัดระวังของผู้เล่นในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ ค่าเงินบาทยังเผชิญแรงกดดันจากกฎเกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่กำหนดให้สถาบันการเงินต้องรายงานธุรกรรมที่มีมูลค่าเกิน 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการบริหารจัดการการแข็งค่าของเงินบาทและความเชื่อมโยงกับธุรกรรมทองคำ โดย วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามกระแสเงินทุนและลดความผันผวนในตลาดเงิน
