
ปี 2568 คือปีที่โลกเผชิญไฟสงครามในหลายภูมิภาค หนึ่งในความขัดแย้งที่ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง คือสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งทวีความตึงเครียดขึ้นในช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา แต่ล่าสุด ดูเหมือนสถานการณ์เริ่มคลี่คลายจากการตกลงหยุดยิงครั้งใหม่
อีกหนึ่งจุดที่ยังต้องจับตามองคือ สงครามรัสเซีย-ยูเครน เพราะถึงแม้ว่าสหรัฐฯ จะเดินหน้าอย่างหนักเพื่อผลักดันให้ข้อตกลงสันติภาพเกิดขึ้น แต่ก็ตอบได้ยากว่า ข้อตกลงจะบังคับใช้ได้จริงหรือไม่ เมื่อฝ่ายรัสเซียยังไม่ได้แสดงท่าทีว่าเห็นด้วย
ส่วนอีกหนึ่งความขัดแย้งที่ดูเหมือนว่า ควรจะปิดฉากลงได้แล้ว แต่ก็ยังต้องจับตามอง คือสงครามในกาซา ที่แม้ว่าจะมีข้อตกลงหยุดยิงเกิดขึ้น แต่ปัจจุบัน เมื่อข้อตกลงกำลังจะเดินทางเข้าสู่เฟสสอง ต่างฝ่ายต่างกล่าวหากันว่าละเมิดข้อตกลงเดิม
ปลายเดือนตุลาคม 2568 ความขัดแย้งทุเลาลงชั่วคราว เมื่อไทยและกัมพูชาลงนามในข้อตกลงหยุดยิง โดยมีมาเลเซียและสหรัฐอเมริกาเป็นพยาน
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าว ณ วันนั้นว่า “นี่คือวันแห่งการจดจำของประชาชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะเราได้ลงนามในข้อตกลงประวัติศาสตร์ เพื่อยุติความขัดแย้งทางทหารระหว่างกัมพูชาและไทย”
แต่ภายใต้ภาพจับมือและรอยยิ้ม สถานการณ์ตามแนวชายแดนยังพร้อมปะทุได้ตลอดเวลา จากภัยเงียบที่ซ่อนอยู่ใต้ผืนดิน นั่นคือ กับระเบิด
กับระเบิดได้คร่าชีวิตและทำให้ทหารไทยหลายนายบาดเจ็บ กลายเป็นประเด็นร้อนที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นของข้อตกลงหยุดยิง โดยเฉพาะเมื่อการใช้กับระเบิดถือเป็นการละเมิด “อนุสัญญาออตตาวา” ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชาให้คำมั่นว่าจะไม่ใช้ ไม่ผลิต และไม่สะสมอาวุธชนิดนี้
ไม่นานหลังจากนั้น วันที่ 8 ธันวาคม 2568 เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้งและข้อตกลงถูกระงับอย่างเป็นทางการ และการปะทะกันยังดำเนินต่อเนื่อง
27 ธันวาคม 2568 พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพลอากาศเอก ประภาส สอนใจดี ผู้อำนวยการศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา แถลงการณ์สรุปข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทย-กัมพูชา จากผลการประชุม GBC ครั้งที่ 3 เปิดข้อตกลง 3 ข้อ และให้ความมั่นใจประชาชนถึงความตั้งใจในการแก้ปัญหา ได้แก่
ล่าสุด กระบวนการส่งทหารกัมพูชา 18 นายกลับประเทศภายหลังการหยุดยิงเป็นไปอย่างเรียบร้อยภายในกรอบเวลา 72 ชั่วโมง โดยมีคณะกรรมการกาชาดสากลเป็นสักขีพยาน ยืนยันว่า ทหารดังกล่าวได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม และฝ่ายไทยคาดหวังว่าจะได้เห็นการส่งตัวคนไทยที่ติดค้างอยู่ในปอยเปตกลับประเทศเช่นกัน
ส่วนในอนาคตเร็ว ๆ นี้ คาดว่า จะมีการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมชายแดน (JBC) ในระยะอันใกล้ แม้ยังไม่มีการกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจน ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า การหยุดยิงและการฟื้นฟูความสัมพันธ์จำเป็นต้องใช้เวลาและความอดทน แต่นับจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีการหารือเกี่ยวกับการเปิดพรมแดนระหว่างสองประเทศ
ไทยและกัมพูชามีชายแดนติดกันยาวกว่า 800 กิโลเมตร หลายช่วงยังไม่เคยปักปันอย่างเป็นทางการเนื่องจากเป็นพื้นที่ภูเขาและป่าทึบ รากของปัญหาย้อนกลับไปกว่า 100 ปี จากแผนที่ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นในยุคอาณานิคม ซึ่งทั้งสองฝ่ายยังยึดถือคนละฉบับ นำไปสู่ข้อพิพาทที่ยังไม่สิ้นสุด
เกร็ก โพลิง ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ CSIS มองว่า ท้ายที่สุดแล้ว ความขัดแย้งนี้ เกิดจากแผนที่ยุคอาณานิคม ที่ทำให้พรมแดนขยับไปมาได้เป็นร้อยหลา ขึ้นอยู่กับว่าคุณถือแผนที่ฉบับใด
“ท้ายที่สุด เราโทษฝรั่งเศสได้เลย เรื่องความขัดแย้งเกี่ยวกับตำแหน่งที่พรมแดนระหว่างกัมพูชาและไทยควรจะตั้งอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่รอบ ๆ วัดและศาสนสถานที่มีความอ่อนไหวทางวัฒนธรรม พื้นฐานของเรื่องนี้คือ แผนที่ที่ทางการฝรั่งเศสวาดขึ้นในอินโดจีน เป็นการยัดเยียดเส้นแบ่งนี้ให้แก่ราชอาณาจักรสยามเมื่อกว่า 100 ปีที่แล้ว และฝ่ายไทยก็มีข้อโต้แย้งมาโดยตลอด ในบางกรณี มันก็เป็นเรื่องง่ายๆ คือ ทั้งสองฝ่ายใช้แผนที่ที่มาตราส่วนแตกต่างกัน ดังนั้น ฝ่ายไทยจึงชอบแผนที่ที่มีรายละเอียดมากกว่า ส่วนฝ่ายกัมพูชาชอบแผนที่ฝรั่งเศสฉบับเก่าที่คลุมเครือมากกว่าขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังดูแผนที่ฉบับใด พรมแดนก็จะตั้งอยู่ห่างออกไป 100 หลา ในทิศทางหนึ่งหรืออีกทิศทางหนึ่ง”
กลางเดือนธันวาคม อุณหภูมิที่ลดต่ำลงในยูเครนไม่ได้ทำให้เสียงปืนเงียบลง ตรงกันข้าม เมืองคอสเตียนติเนฟกา ทางตะวันออกของประเทศ ยังคงเป็นหนึ่งในแนวหน้าที่ตึงเครียดที่สุดของสงคราม
ภาพรถทหารที่เคลื่อนผ่านถนนซึ่งถูกคลุมด้วย ตาข่ายกันโดรน สะท้อนถึงลักษณะของสงครามยุคใหม่ ที่ภัยคุกคามไม่ได้มาจากปืนใหญ่เพียงอย่างเดียว หากแต่มาจากโดรนสอดแนมและโดรนโจมตีแบบ FPV ของรัสเซีย ซึ่งบินวนอยู่เหนือท้องฟ้าแทบตลอดเวลา
ทหารยูเครนในพื้นที่ต้องปรับตัวอย่างหนัก พวกเขาเลือกเคลื่อนที่ด้วยการเดินเท้า หลบซ่อนตามต้นไม้ ซากอาคาร และที่กำบังชั่วคราว เพราะยานพาหนะกลายเป็นเป้าหมายลำดับแรกของการโจมตี เสียงหึ่งของโดรน ผสานกับแรงสั่นสะเทือนจากการยิงปืนใหญ่ กลายเป็นสภาพแวดล้อมปกติของแนวรบฤดูหนาวนี้
ดมิโทร ทหารยูเครน บอกว่า เมืองที่เคยมีประชากรกว่า 67,000 คน ถูกทำลายลง “ทีละเล็กทีละน้อย” จากการโจมตีอย่างต่อเนื่อง ทั้งโดรน FPV ปืนใหญ่ และอาวุธชนิดอื่น ๆ จนแทบไม่เหลืออาคารที่สมบูรณ์
คอสเตียนติเนฟกา ตั้งอยู่ห่างจากเมืองโปโครฟสค์ราว 50 กิโลเมตร เมืองที่รัสเซียอ้างว่ายึดได้เมื่อต้นเดือนธันวาคม หากรัสเซียสามารถยึดเมืองนี้ได้ จะเปิดทางให้รุกขึ้นเหนือไปยัง ครามาทอร์สก์ และ สโลเวียนสก์ สองเมืองยุทธศาสตร์สำคัญในแคว้นโดเนตสก์
แม้อากาศจะหนาวจัดและมีหมอกหนาทึบ แต่ทีมปืนใหญ่ของยูเครนยังคงปฏิบัติการไม่หยุด เพื่อสนับสนุนทหารราบในแนวหน้า
ผู้บังคับบัญชาหน่วยปืนใหญ่วัย 23 ปี ซึ่งใช้รหัสเรียกขานว่า “คูเชอร์” ระบุว่า ปืนใหญ่ยังสามารถใช้งานได้แม้ในหิมะ หมอก หรือฝน เพราะหากพวกเขาหยุดทำงาน แนวหน้าจะตกอยู่ในความเสี่ยงมากขึ้น
ข้อมูลล่าสุดระบุว่า รัสเซียควบคุมพื้นที่ยูเครนราว 19.2% ของประเทศ นับตั้งแต่การผนวกไครเมียในปี 2014
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีของยูเครน ร่วมแถลงข่าวหลังเสร็จสิ้นการเจรจาทวิภาคีที่รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐฯ โดยทั้งสองฝ่ายต่างยกย่องการหารือในครั้งนี้ว่าประสบความสำเร็จด้วยดี ซึ่งทรัมป์ชี้ว่า ข้อตกลงมีความคืบหน้า แต่ยังคงเหลือบางประเด็นที่เป็นอุปสรรคอยู่
ทรัมป์กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ยอดเยี่ยมมาก และเขาก็รู้สึกเหมือนว่า พวกเขาเข้าใกล้ข้อตกลงมากขึ้นอย่างยิ่ง ส่วนเซเลนสกีก็กล่าวขอบคุณทรัมป์สำหรับการประชุมอันยอดเยี่ยม และชี้ว่า แผนสันติภาพที่มีทั้งหมด 20 ข้อ ขณะนี้ตกลงกันไปได้แล้วราว 90 เปอร์เซ็นต์
ในประเด็นสำคัญอย่างเรื่องการรับประกันความมั่นคง เซเลนสกีอธิบายว่า ในข้อนี้เห็นพ้องต้องกันแล้ว 100 เปอร์เซ็นต์ โดยเรียกข้อนี้ว่าเป็น ความสำเร็จที่เด่นชัดในการบรรลุสันติภาพระยะยาว
เซเลนสกียังเผยว่า ทีมงานของพวกเขาได้ดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อจะสรุปสิ่งที่หารือกันออกมาในขั้นตอนสุดท้าย ขณะที่ทรัมป์ชี้ว่า ตอนนี้ใกล้จะแล้วเสร็จ 95 เปอร์เซ็นต์แล้ว
ในประเด็นเรื่องดินแดน ทรัมป์เปิดเผยว่า ประเด็นที่ยังตกลงกันไม่ได้ก็คือ ดอนบัส ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของยูเครน และเป็นแนวหน้าของการสู้รบ แต่ก็ย้ำอีกครั้งว่า พวกเขาเข้าใกล้ข้อตกลงมากแล้ว ด้านเซเลนสกีเปิดเผยว่า จุดยืนของยูเครนนั้นยังคงชัดเจนเรื่องดอนบัส
อีกหนึ่งประเด็นคืออนาคตของโรงไฟฟ้าชาโปริสเซีย ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ตั้งอยู่ในยูเครน แต่ขณะนี้ มันตกอยู่พื้นที่ที่รัสเซียควบคุมอยู่
บรรณาธิการฝ่ายรัสเซียของบีบีซีแสดงความคิดเห็นว่า แม้ทั้งทรัมป์และเซเลนสกีจะแสดงออกว่าการหารือเป็นไปในทิศทางบวกอย่างมาก แต่ก็ยังไม่เห็นหลักฐานของความคืบหน้าที่ว่า โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่า ยูเครนจะยอมยกดินแดนให้หรือไม่เพื่อแลกเปลี่ยนกับข้อตกลงสันติภาพ ข้อนี้ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ
อีกทั้งยังไม่มีเหตุผลที่จะอนุมานได้ว่า รัสเซียจะเห็นด้วยตามข้อตกลงที่บรรลุโดยทรัมป์และเซเลนสกีทั้งหมด เพราะในความเป็นจริง รัฐบาลรัสเซียบอกปัดไอเดียต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นก่อนการประชุมนี้จะเริ่มต้นขึ้นด้วยซ้ำไป
เศรษฐกิจรัสเซียกำลังเผชิญแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ ตั้งแต่อัตราเงินเฟ้อที่ควบคุมได้ยาก การขาดดุลงบประมาณที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการใช้จ่ายทางทหารจำนวนมหาศาล ไปจนถึงรายได้จากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ลดลง
อย่างไรก็ตาม พายุเศรษฐกิจที่กำลังก่อตัวขึ้นนี้ ไม่น่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ต้องหันมาเจรจาเพื่อยุติสงครามในยูเครนในเร็ววัน นักวิเคราะห์ประเมินว่า รัฐบาลรัสเซียยังสามารถประคองสถานการณ์ไปได้อีกหลายปี ภายใต้ระดับความรุนแรงของการสู้รบในปัจจุบัน และมาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกที่ยังคงมีผลบังคับใช้
ริชาร์ด คอนนอลลี่ จากสถาบัน Royal United Services Institute (RUSI) ให้สัมภาษณ์กับ CNN ว่า มาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกยังไม่สร้างแรงกดดันมากพอ ต่อเศรษฐกิจรัสเซียที่พึ่งพาพลังงานเป็นหลัก จนทำให้มอสโกต้องเปลี่ยนแผนการทำสงคราม
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เปลี่ยนไปสำหรับรัสเซียคือ แรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจในช่วงแรกจากการใช้จ่ายทางทหารที่พุ่งสูง ดูเหมือนจะสิ้นสุดลงแล้ว และรัฐบาลจำเป็นต้อง “ผลักภาระของสงครามไปให้สังคมรัสเซียแบกรับมากขึ้น”
ภาระดังกล่าวสะท้อนผ่านการขึ้นภาษีนิติบุคคลและภาษีเงินได้ รวมถึงการปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพื่อสนับสนุนงบประมาณทางทหารที่ทำสถิติสูงสุด ขณะเดียวกัน ผู้บริโภครัสเซียต้องเผชิญกับราคาสินค้าที่ปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสินค้านำเข้า
แม้ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและฮามาสจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2568 แต่ฉนวนกาซายังคงเผชิญกับสภาพความเสียหายอย่างหนักจากสงครามที่ยืดเยื้อนานกว่า 2 ปี
อาคารบ้านเรือนมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ได้รับความเสียหายหรือถูกทำลายจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้ ส่งผลให้ชาวปาเลสไตน์ราว 1.9 ล้านคน หรือเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ของประชากรกาซา กลายเป็นผู้ไร้บ้าน ต้องอาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยชั่วคราว
ช่วงกลางเดือนธันวาคม 2568 สถานการณ์เลวร้ายลงอีก เมื่อฝนตกหนักทำให้เกิดน้ำท่วมในกาซาซิตี โดยเฉพาะในค่ายผู้พลัดถิ่นที่ใช้เพียงเต็นท์ผ้าใบเป็นที่พักพิง น้ำท่วมทำให้เต็นท์พัง ห้องน้ำใช้งานไม่ได้ อาหารเน่าเสีย และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคภัย โดยผู้พลัดถิ่นหลายคนยอมรับว่านี่คือ “สภาพที่เลวร้ายที่สุด” ที่ต้องเผชิญหลังสงคราม
นอกจากที่อยู่อาศัยแล้ว เศรษฐกิจกาซาก็ล่มสลายอย่างรุนแรง ธนาคารโลกระบุว่า จีดีพีของกาซาในปี 2024 ลดลงถึง 83 เปอร์เซ็นต์ เหลือเพียง 362 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจีดีพีต่อหัวประชากรลดต่ำเหลือเพียงราว 161 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี นับเป็นหนึ่งในระดับที่ต่ำที่สุดของโลก
ขณะที่ความเสียหายทางกายภาพจากการโจมตีทางทหารมีมูลค่าสูงถึง 55,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ครอบคลุมบ้านเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล และโครงสร้างพื้นฐานแทบทั้งหมด
องค์การสหประชาชาติประเมินว่า การฟื้นฟูกาซาอาจต้องใช้งบมากกว่า 70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอาจต้องใช้เวลานานหลายทศวรรษกว่าชีวิตของผู้คนจะกลับสู่ภาวะปกติ
ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและฮามาส ซึ่งลงนามในอียิปต์เมื่อเดือนตุลาคม 2568 ถูกออกแบบเป็นแผนสันติภาพ 3 ระยะ โดยมีเป้าหมายทั้งการยุติการสู้รบ การแลกเปลี่ยนตัวประกัน และการฟื้นฟูกาซาในระยะยาว
อิสราเอลและฮามาสไม่ได้ลงนามอย่างเป็นทางการในข้อตกลงระยะที่ 2 เนื่องจากทั้งสองฝ่ายกล่าวหาว่า อีกฝ่ายละเมิดข้อตกลงหยุดยิงระยะที่ 1
การหยุดยิงระยะที่ 1 ซึ่ง 2 ฝ่ายตกลงกันเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กำหนดให้อิสราเอลถอนกำลังออกจากกาซา และให้ฮามาสยอมสละอาวุธของตนและละทิ้งบทบาทการปกครองในพื้นที่ฉนวนกาซา