ไลฟ์สไตล์

เห็นเขาลาออก ก็อยากออกตาม รู้จัก Quitfluencer 'อินฟลูสายลาออก'

19 ต.ค. 65
เห็นเขาลาออก ก็อยากออกตาม รู้จัก Quitfluencer 'อินฟลูสายลาออก'

Adecco เผยผลสำรวจคนทำงานทั่วโลก พบ 1 ใน 4 เตรียมลาออกซบบริษัทใหม่ เตือนอินฟลูสายลาออก 'Quitfluencer' ทำมนุษย์งานเจน Z แห่ลาออกตาม ส่วนที่ยังทนอยู่ต่อก็หมดไฟกลายเป็น Quiet Quitting


บริษัทจัดหางานชั้นนำ อเด็คโก้ ประเทศไทย เปิดเผยรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไปหลังโควิด-19 พบว่า คนทำงานถึง 1 ใน 4 เตรียมลาออกซบบริษัทใหม่ภายใน 1 ปีข้างน้า โดยมีสาเหตุหลักจากพิษเศรษฐกิจทำค่าครองชีพสูงขึ้น ทำให้ต้องการเงินเดือนมากขึ้น 

ผลสำรวจล่าสุดจากกลุ่มตัวอย่าง 34,200 คนใน 25 ประเทศทั่วโลก พบว่า 27% ของผู้ตอบแบบสำรวจบอกว่า จะลาออกภายใน 12 เดือนข้างหน้า และ 45% ของคนเหล่านี้กำลังสมัครงานและสัมภาษณ์งานใหม่แล้ว ส่วน 55% กำลังมองหาโอกาสใหม่ ๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป และในกลุ่มที่บอกว่าจะลาออกนี้ มี 17% ที่เคยได้รับการติดต่อจาก recruiter เพื่อชวนไปร่วมงานใหม่

ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า เทรนด์การลาออกครั้งใหญ่ หรือ The Great Resignation ยังไม่ได้จบในเร็ววัน และได้ดำเนินต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลามากกว่า 2 ปีแล้ว

"จีน" เป็นประเทศเดียวในผลสำรวจที่มีตัวเลขฉีกจากค่าเฉลี่ยไปไกล โดยในขณะที่ทั่วโลกมีค่าเฉลี่ยการลาออกอยู่ที่ 27% แต่ในจีนอยู่ที่เพียง 14% ขณะที่ "ญี่ปุ่น" ก็เป็นอีกหนึ่งประเทศในฝั่งเอเชียที่มีเปอร์เซ็นต์ลาออกต่ำกว่าค่าเฉลี่ย นั่นคือ 23%

ส่วนประเทศที่มีแนวโน้มจะลาออกมากที่สุด 3 อันดับ ได้แก่ ออสเตรเลีย 33% สวิตเซอร์แลนด์ 32% และกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกและ MENA 31%

 istock-1215198354


ปรากฏการณ์ Quitfluencer: อินฟลูเอนเซอร์ด้านการลาออก

ไม่ต้องเป็นคนดังก็สามารถเป็น influencer ในที่ทำงานได้ เพียงแค่ตัดสินใจลาออกจากบริษัท เพราะผลสำรวจพบว่า "ความรู้สึกอยากลาออก เป็นมวลที่ส่งต่อสู่เพื่อนร่วมงานได้" หรือเรียกว่า Quitfluencer โดยพบว่า 70% ของคนที่เห็นผู้อื่นลาออก จะย้อนกลับมาพิจารณาว่าตัวเองควรลาออกดีหรือไม่ และท้ายที่สุด 50% ของเหล่านี้จะตัดสินใจลาออกภายใน 12 เดือนหลังจากนั้น

ผลสำรวจพบว่า คนเจน Z (เกิดปี 1995-2010) เป็นกลุ่มที่อ่อนไหวต่อ Quitfluencer มากที่สุด โดยคนเจนนี้ หากเห็นผู้อื่นลาออกก็มีโอกาสที่ตัวเองจะลาออกมากขึ้น 2.5 เท่าเมื่อเทียบกับเจน Baby Boomers ซึ่งตรงกับรายงานของ LinkedIn’s Workforce Confidence Index ที่พบว่าคนวัยเจน Z เปลี่ยนงานมากขึ้น 134% เมื่อเทียบกับปี 2019 ในขณะที่ Baby Boomers เปลี่ยนงานน้อยลง 4%

 

ไม่อยากเสี่ยงย้ายงานช่วงนี้ จึงกลายเป็น Quiet quitting

ในขณะเดียวกัน คนที่ยังไม่ตัดสินใจลาออกในช่วงนี้ หลาย ๆ คนอาจจะไม่ได้อยู่ในสถานะรักงานเต็มร้อย แต่อยู่ในสถานะ Quiet quitting หรือการลาออกแบบเงียบ ๆ ซึ่งเป็นนิยามของ "คนที่หมดใจกับงานแล้วแต่ยังไม่ลาออก" เพราะไม่อยากเสี่ยงในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย

Quiet quitting เป็นเทรนด์ที่เกิดจากปัญหาของความเบลอของเส้นแบ่งระหว่างเวลางานและเวลาส่วนตัวในช่วงโควิด-19 ซึ่งทำให้หลาย ๆ คนทำงานไม่เป็นเวลาจนรู้สึกหมดไฟ หลายคนจึงใช้ quiet quitting เป็นวิธีแก้ปัญหา เพื่อเป็นเกราะป้องกันไม่ให้ตัวเองรู้สึกเหนื่อยล้าจนเกินไป โดยพยายามทำงานเท่าที่จำเป็นในหน้าที่ของตัวเอง และไม่อาสาทำงานอื่นนอกเหนือจากที่ได้รับมอบหมายหรือนอกเวลางาน

Quiet quitting สามารถเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนงานได้หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากบริษัท หัวใจสำคัญของการแก้ปัญหานี้คือหัวหน้าต้องพูดคุยกับลูกน้องในทีม เปิดพื้นที่รับฟังปัญหาอย่างจริงใจเพื่อให้รู้ว่าลูกน้องต้องการอะไร เพราะหากปิดหูปิดตาและยังคงมอบหมายงานแบบไม่สนใจ หรือไม่รับฟังปัญหาของลูกน้อง ก็อาจถูกเรียกได้ว่าเป็น “Quiet firing” หรือการบีบให้ลูกน้องรู้สึกไม่ดี และลาออกไปเอง ซึ่งตรงกับผลสำรวจล่าสุดที่ว่า คนทำงานเชื่อว่าการจะมีชีวิตการทำงานที่ดีขึ้นได้นั้น ขึ้นอยู่กับฝั่งนายจ้างมากกว่าตัวเองเสียอีก

 

คนทำงานเกินครึ่งมั่นใจว่าจะหางานใหม่ได้เร็ว

6 ใน 10 ของผู้ทำแบบสำรวจแสดงความเชื่อมั่นว่า จะสามารถหางานใหม่ได้ภายใน 6 เดือนหรือเร็วกว่านั้น แม้ว่าเศรษฐกิจยังอยู่ในช่วงที่ไม่แน่นอน และ 5 ใน 10 เชื่อว่าพวกเขามีอำนาจในการเลือกงานตามที่ตัวเองต้องการ โดยเฉพาะ Gen Y และ Gen Z

โดยคนรุ่นใหม่มีแนวคิดว่า ‘Candidate as a consumer’ หรือผู้บริโภค/ลูกค้า เป็นคนที่มีสิทธิเลือกงาน และเป็นหน้าที่ของบริษัทที่ต้องพยายามดึงดูดและรักษาคนเก่งไว้ ส่วนประเทศที่ผู้ตอบแบบสอบถามมีความมั่นใจว่าจะหางานใหม่ได้ภายใน 6 เดือนน้อยที่สุด 3 อันดับ ได้แก่ ญี่ปุ่น อิตาลี และฝรั่งเศส มีจำนวนคนมั่นใจอยู่ที่ 37% 46% และ 53% ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มที่ดีหนึ่งอย่างคือ ในปีนี้ 72% ของคนทำงานทั่วโลกบอกว่า รู้สึกมีความมั่นคงและไม่ค่อยกังวลว่าจะตกงาน ซึ่งดีกว่าปีที่แล้วที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 61%

 istock-984015014

"เงินเดือน" คือเครื่องมือดึงคนใหม่ แต่ไม่ได้ช่วยรั้งคนเก่า

ผลสำรวจพบว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เงินเดือนเป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพสำหรับดึงดูดพนักงานใหม่ แต่ในทางตรงกันข้าม การขึ้นเงินเดือนอย่างเดียวไม่เป็นผลต่อการรักษาพนักงานเก่า

"ความต้องการเงินเดือนที่สูงขึ้น" คือเหตุผลอันดับ 1 ที่ทำให้คนตัดสินใจย้ายงาน ทั้งพนักงานออฟฟิศและอาชีพอื่น ๆ ต่างเลือกให้เงินเดือนเป็นปัจจัยสำคัญอันดับ 1 ร่วมกัน ส่วนอันดับรองลงมาคือ ต้องการมี work life balance ที่ดีขึ้น ต้องการความก้าวหน้าในทักษะและสายงาน ต้องการบริษัทที่มีความยืดหยุ่นในการทำงาน และต้องการทดลองสิ่งใหม่ ๆ ตามลำดับ

ในขณะที่ปัจจัยที่ทำให้คนทำงาน "เลือกจะอยู่บริษัทเดิมต่อไป" ใน 12 เดือนข้างหน้า อันดับ 1 ได้แก่ การมีความสุขกับงาน รองลงมาคือ งานมีความมั่นคง มี work life balance มีความสุขกับเพื่อนร่วมทีม และชอบความยืดหยุ่นในการทำงาน ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม 44% ของคนที่ยังอยากอยู่ที่เดิม ก็มาพร้อมกับเงื่อนไขว่า พวกเขาต้องการความก้าวหน้าภายในบริษัทและต้องการ upskill เพื่อให้พร้อมกับตำแหน่งงานใหม่ในอนาคตอีกด้วย

 

เศรษฐกิจโลก สำคัญกับคนทำงานมากกว่า เทรนด์

นอกจากโควิด-19 ที่ยังคงดำเนินต่อไป สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาในปีนี้คือ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจและการเมืองโลก ซึ่งคนทำงานทั่วโลกได้ระดับผลกระทบในระดับที่ไม่ต่างกันมากนัก

เมื่อถามถึงความกังวลต่อปัจจัยภายนอก คนส่วนใหญ่กังวลเรื่องเศรษฐกิจและการเมืองโลกมากกว่า Megatrends หรือเทรนด์การทำงานที่สำคัญที่เพิ่งเกิดขึ้น เช่น green economy, gig economy, AI และ digitalisation "เพราะเศรษฐกิจและการเมืองส่งผลต่อค่าครองชีพโดยตรง"

ในขณะที่เทรนด์การทำงานต่าง ๆ ยังเป็นเรื่องใหม่และไกลตัว ทำให้ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าสิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อตัวเองอย่างไร อย่างไรก็ตาม คนทำงานเกินครึ่งหนึ่งรับรู้ว่าเทรนด์ต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลให้พวกเขาจำเป็นต้อง reskill และ upskill เพื่อให้เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต โดยเฉพาะในเรื่องของ digitalization

สิ่งที่น่าสนใจคือ "ญี่ปุ่น" เป็นประเทศเดียวในผลสำรวจที่ความกังวลต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในทุก ๆ ประเด็น โดยอยู่ที่ 17-23% เท่านั้น ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ต่างมีความกังวลต่อประเด็นต่าง ๆ อยู่ที่ 30-60% หากคาดเดาอาจจะเกิดจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เทคโนโลยีพัฒนามานานมาแล้ว ทำให้คนทำงานมีความพร้อมไม่ว่าจะต้องปรับตัวกับรูปแบบการทำงานแบบใดในอนาคต

 


Work life balance มีความหมายแซงหน้า เงินเดือนสูง 

เมื่อถามถึงนิยาม "ความสำเร็จในชีวิตการทำงาน" คนเกือบ 40% เทให้การมี work life balance คือตัวแปรที่บอกว่าชีวิตการทำงานประสบความสำเร็จมากที่สุด ส่วนอันดับ 2 คือ มีความสุขกับการทำงานในทุก ๆ วัน (32%) รองลงมาคือ มีงานที่มั่นคง (30%) มีงานที่มีความยืดหยุ่น (30%) และได้ทำงานที่ตรงกับ passion (29%) ตามลำดับ

สิ่งที่น่าสนใจคือ การมีรายได้สูง ไม่ได้ติดอยู่ใน 5 อันดับแรกของนิยามความสำเร็จในการทำงาน นั่นหมายความว่าในขณะที่รายได้เป็นเรื่องสำคัญ แต่การที่บริษัทเน้นให้เงินเดือนสูงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอจะทำให้ใครหลาย ๆ คนรู้สึกว่าประสบความสำเร็จในการทำงาน บริษัทจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับ wellbeing ควบคู่ไปด้วย

 

 

 

 

 

 

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT